16 ส.ค. 2023 เวลา 02:40 • ธุรกิจ

cost of quality คืออะไร ?

Cost of Quality (COQ) หมายถึง ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมและรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์หรือบริการ โดยเน้นการประเมินต้นทุนทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพื่อรับรู้ความสำคัญและผลกระทบที่เกิดจากการไม่มีคุณภาพหรือปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตหรือการให้บริการ
ต้นทุนคุณภาพแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่
**1.ต้นทุนการป้องกัน (Prevention Costs)**: ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการบริหารจัดการเพื่อป้องกันข้อผิดพลาดหรือปัญหาในกระบวนการผลิต อาทิเช่น การฝึกอบรมพนักงาน เครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับการควบคุมคุณภาพ เครื่องมือและอุปกรณ์ทดสอบ และการวิเคราะห์กระบวนการเพื่อปรับปรุง ตัวอย่างของต้นทุนการป้องกันได้แก่
1. การฝึกอบรม: ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมพนักงานเพื่อเพิ่มความรู้และทักษะในการทำงาน อาทิเช่น การฝึกอบรมเกี่ยวกับกระบวนการผลิตหรือการให้บริการ การป้องกันการเกิดข้อผิดพลาด หรือการใช้งานอุปกรณ์และเครื่องมืออย่างถูกต้อง
2. การวางแผนและการออกแบบกระบวนการ: ค่าใช้จ่ายในการวางแผนและออกแบบกระบวนการผลิตหรือการให้บริการให้มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพ อาทิเช่น การวางแผนการทำงาน การออกแบบกระบวนการผลิตหรือเครื่องจักร และการประเมินความเสี่ยงในกระบวนการ
3. การติดตั้งและการดูแลอุปกรณ์: ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและดูแลอุปกรณ์หรือเครื่องจักรเพื่อให้ทำงานได้ดีและไม่เกิดข้อผิดพลาด อาทิเช่น การตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์ การทดสอบและการตรวจสอบประสิทธิภาพของเครื่องจักร และการติดตั้งระบบควบคุมคุณภาพ
4.การพัฒนากระบวนการ: ค่าใช้จ่ายในการวิเคราะห์และพัฒนากระบวนการผลิตหรือการให้บริการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพ อาทิเช่น การวิเคราะห์กระบวนการ การพัฒนาวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูง หรือการปรับปรุงกระบวนการที่มีปัญหา
 
5.การจัดทำเอกสารและการบันทึกข้อมูล: ค่าใช้จ่ายในการจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันข้อผิดพลาด การบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการประเมินความเสี่ยงและการปรับปรุง และการเผยแพร่ข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ทราบ
โดยการลงทุนในต้นทุนการป้องกันจะช่วยลดต้นทุนในระยะยาวเนื่องจากการลดข้อผิดพลาดและปัญหาที่เกิดขึ้น และช่วยให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการมีคุณภาพสูงขึ้น ทำให้ลูกค้าพึงพอใจและลดความเสี่ยงในการเสียเวลาและทรัพยากรในการแก้ไขปัญหาภายหลัง
**2.ต้นทุนการตรวจสอบ (Appraisal Costs**): ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการตรวจสอบและตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์หรือบริการ เพื่อตรวจจับข้อผิดพลาดหรือปัญหา อาทิเช่น การทดสอบคุณภาพ การตรวจสอบการรับส่งสินค้า การวิเคราะห์และการตรวจสอบเอกสารตัวอย่างของต้นทุนการตรวจสอบได้แก่:
1.การตรวจสอบและการทดสอบ: ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตรวจสอบและทดสอบผลิตภัณฑ์หรือวัตถุดิบเพื่อตรวจสอบคุณภาพและความเข้ากันได้ตามมาตรฐาน อาทิเช่น การตรวจสอบการวัดขนาด การทดสอบความแข็งแรง หรือการตรวจสอบสมรรถนะทางเคมี
2.การวิเคราะห์และการตรวจสอบข้อมูล: ค่าใช้จ่ายในการวิเคราะห์และตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพ อาทิเช่น การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติเพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต การตรวจสอบและตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพ
3.การตรวจสอบและการควบคุมการประเมินความเสี่ยง: ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและควบคุมการประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพ อาทิเช่น การตรวจสอบและการควบคุมการประเมินความเสี่ยงในกระบวนการผลิต การตรวจสอบและการประเมินผลการดำเนินงานของระบบควบคุมคุณภาพ
4.การพัฒนาและการบริหารคุณภาพ: ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและบริหารคุณภาพของผลิตภัณฑ์หรือบริการ อาทิเช่น การทดสอบและการวิเคราะห์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การอบรมและการพัฒนาพนักงานในเรื่องคุณภาพ
การลงทุนในต้นทุนการตรวจสอบเป็นการป้องกันความผิดพลาดและช่วยให้คุณภาพของผลิตภัณฑ์หรือบริการมีความมั่นคงและตรงตามมาตรฐาน ส่งผลให้ลูกค้ามีความพึงพอใจและลดความเสี่ยงในการรับผลิตภัณฑ์ที่มีข้อบกพร่อง ทำให้ประสิทธิภาพการดำเนินงานเพิ่มขึ้น และลดต้นทุนที่เกิดจากการตรวจสอบและการแก้ไขปัญหาในภายหลัง
**3.ต้นทุนของข้อผิดพลาดภายใน (Internal Failure Costs)**: ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเนื่องจากข้อผิดพลาดหรือปัญหาที่เกิดขึ้นภายในกระบวนการผลิต อาทิเช่น การแก้ไขเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด การทำซ้ำกระบวนการ และการบำรุงรักษาเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่เสียหาย ตัวอย่างของต้นทุนข้อผิดพลาดภายในได้แก่:
1.การตรวจสอบและการพิสูจน์ข้อผิดพลาด: ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและพิสูจน์ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต อาทิเช่น การตรวจสอบและการระบุข้อผิดพลาดทางเทคนิค การทดสอบและการวิเคราะห์ข้อผิดพลาด
2.การรีวิวและการส่งคืนผลิตภัณฑ์: ค่าใช้จ่ายในการรีวิวและการส่งคืนผลิตภัณฑ์ที่มีข้อผิดพลาดหรือไม่สมบูรณ์กลับไปให้แก่กระบวนการผลิตเพื่อการแก้ไขหรือปรับปรุง
3.การแก้ไขหรือการปรับปรุงผลิตภัณฑ์: ค่าใช้จ่ายในการแก้ไขหรือปรับปรุงผลิตภัณฑ์ที่มีข้อผิดพลาดหรือไม่สมบูรณ์ เพื่อให้ตรงตามมาตรฐานและข้อกำหนดที่กำหนดไว้
4.การทำงานซ้ำและการปรับปรุงกระบวนการ: ค่าใช้จ่ายในการทำงานซ้ำและการปรับปรุงกระบวนการเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดและป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดซ้ำในอนาคต
ต้นทุนข้อผิดพลาดภายในเป็นต้นทุนที่เกิดขึ้นเนื่องจากข้อผิดพลาดที่องค์กรต้องรับผิดชอบและแก้ไขในกระบวนการภายในองค์กรเองโดยไม่ต้องผูกพันกับลูกค้าหรือผู้รับบริการภายนอก
**4.ต้นทุนของข้อผิดพลาดภายนอก (External Failure Costs**): ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเนื่องจากข้อผิดพลาดหรือปัญหาที่เกิดขึ้นหลังจากผลิตภัณฑ์ถูกส่งออกนอกระบบ อาทิเช่น การรับเรื่องร้องเรียนจากลูกค้า การแก้ไขหรือปรับปรุงผลิตภัณฑ์ที่มีปัญหา การส่งคืนสินค้า และการชดเชยลูกค้า ตัวอย่างของต้นทุนข้อผิดพลาดภายนอกได้แก่:
1.การรับเรื่องร้องเรียนและการตอบสนอง: ค่าใช้จ่ายในการรับเรื่องร้องเรียนจากลูกค้าหรือผู้รับบริการ และค่าใช้จ่ายในการตอบสนองเพื่อแก้ไขปัญหาหรือข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น
2.การคืนเงินหรือการคืนสินค้า: ค่าใช้จ่ายในการคืนเงินหรือการคืนสินค้าที่มีข้อผิดพลาดหรือไม่สมบูรณ์ตามสิทธิ์ของลูกค้าหรือผู้รับบริการ
3.ค่าเสียหายจากการสูญเสียลูกค้า: ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเนื่องจากการสูญเสียลูกค้าหรือผู้รับบริการที่เกิดจากข้อผิดพลาดหรือความไม่สมบูรณ์ในผลิตภัณฑ์หรือบริการ
4.ค่าใช้จ่ายในการแก้ไขหรือการปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือบริการ: ค่าใช้จ่ายในการแก้ไขหรือปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีข้อผิดพลาดหรือไม่สมบูรณ์เพื่อให้ตรงตามมาตรฐานและความต้องการของลูกค้าหรือผู้รับบริการ
ต้นทุนข้อผิดพลาดภายนอกเป็นต้นทุนที่สูญเสียและไม่ได้รับกลับมาในรูปแบบของรายได้หรือความมั่นคงภายในองค์กร ซึ่งส่งผลต่อความเสียหายทางธุรกิจและภาพลักษณ์ขององค์กรในตลาดได้
การจัดการต้นทุนความไม่คุณภาพมีเป้าหมายที่เน้นให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนของข้อผิดพลาดภายในและภายนอก และเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของกระบวนการผลิตหรือการให้บริการเพื่อลดการเสียหายและต้นทุนที่ไม่จำเป็น
#วิศวกรเค้นประสิทธิภาพ #hozenkaizen
โฆษณา