6 ก.ย. เวลา 09:33 • การเมือง
@ คุณ supasit เรามาตอบกลับค่ะ
หลายคนชอบพูดว่า “ก็เลือกตั้งผู้แทน ไม่ได้เลือกนายกรัฐมนตรี” หรือ “นายก มาจากเสียงโหวตในสภา” ฟังดูเหมือนจริงใช่ไหมคะ แต่คำถามคือ ถ้าอย่างนั้นเราจะจัดลำดับคะแนนเลือกตั้งไปทำไมคะ เราจะให้ประชาชนไปนั่งกากบาทเลือกพรรคการเมืองเพื่ออะไร ในเมื่อสุดท้ายมันคือการ “ล็อกสเป็ก” อยู่แล้วว่าใครจะได้เป็นนายกหรือไม่เป็น
1
ในสามัญสำนึกพื้นฐาน การเลือกตั้งคือการสะท้อนเจตจำนงของประชาชน พรรคไหนได้เสียงมากที่สุด ก็ควรได้สิทธิ์ในการจัดตั้งรัฐบาล นี่คือหัวใจของประชาธิปไตยแทบทุกประเทศค่ะ แต่ในไทย มันกลับกลายเป็นการเลือก “ฝ่ายค้าน” ไปโดยปริยาย เพราะพรรคที่ชนะเลือกตั้งกลับถูกกันออกไปจากอำนาจ และนายก ก็มาจากพรรคอันดับสอง อันดับสาม หรือแม้กระทั่งจากพรรคที่ไม่ได้มีเจตจำนงจากเสียงส่วนใหญ่เลยค่ะ
โครงสร้างที่บิดเบี้ยว = การเมืองที่ไร้เหตุผล
รัฐธรรมนูญไทยถูกออกแบบมาเพื่อบิดเบือนเสียงประชาชน เต็มไปด้วยกติกาซับซ้อน วุ่นวาย และ “กับดัก” ที่ทำให้คนทั่วไปสับสนและมองว่าการเมืองเป็นเรื่องไกลตัว ทั้งๆที่มันคือเรื่องปากท้องและอนาคตของพวกเขาแท้ๆค่ะ
นายกรัฐมนตรีที่ได้มาภายใต้ระบบนี้ มันแทบไม่ต่างจากการ จับฉลาก หรือถูก “ผู้มีอำนาจ” คัดเลือกอีกที ซึ่งถามตรงๆว่า ถ้ามันจะเป็นแบบนี้อยู่แล้ว เราจะเลือกตั้งไปทำไมคะ จะให้พรรคการเมืองลงแรงหาเสียง ดีเบต เสนอวิสัยทัศน์ไปเพื่ออะไร สุดท้ายมันก็ไม่ใช่เจตจำนงของประชาชนอยู่ดีค่ะ
ต่างประเทศเขาทำกันยังไง
เพื่อให้เห็นความแตกต่างชัดๆ มาดูกันค่ะว่าประชาธิปไตยที่เขา “จริงจัง” กว่าเรา เขาจัดการเลือกตั้งยังไง
อังกฤษ (ระบบรัฐสภา)
พรรคที่ได้ที่นั่งมากที่สุดในสภาแทบจะการันตีการจัดตั้งรัฐบาล และหัวหน้าพรรคก็มักจะเป็นนายกรัฐมนตรีโดยอัตโนมัติ การเมืองอังกฤษมีรัฐบาลผสมก็จริง แต่หลักการไม่เคยเปลี่ยน: พรรคอันดับ 1 ต้องเป็นแกนนำค่ะ
เยอรมนี (รัฐบาลผสม)
ใช้ระบบเลือกตั้งแบบผสมที่เปิดโอกาสให้หลายพรรคเข้ามามีบทบาท จึงต้องมีการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสม แต่พรรคที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งยังคงเป็นศูนย์กลาง และ “พันธมิตรทางการเมือง” มักอยู่บนพื้นฐานของนโยบายที่สามารถตกลงกันได้จริงๆ ทำให้ถึงแม้จะเป็นรัฐบาลผสม แต่ยังคงรักษาความเสถียรภาพพอสมควรค่ะ
สหรัฐอเมริกา (ระบบประธานาธิบดี)
ประชาชนเลือกผู้นำโดยตรง ใครได้คะแนนมากกว่า คนนั้นได้เป็นประธานาธิบดีทันที ไม่มีวุฒิสภาหรือกลไกอื่นๆมาบิดเจตจำนงของประชาชน
เมื่อเทียบกันแล้วจะเห็นว่า ประเทศเหล่านี้เขามี “คุณธรรมทางการเมือง” อย่างน้อยก็ตรงไปตรงมากับประชาชน แต่ของไทยกลับสร้างระบบที่ทำให้คนสับสน รู้สึกว่าเลือกไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะสุดท้ายเจตจำนงของพวกเขาไม่เคยถูกสะท้อนออกมาเลยค่ะ
แล้วรัฐบาลผสมแบบไทยต่างจากเขายังไง
ในเมืองไทย การจัดตั้งรัฐบาลผสมกลับไม่ได้อยู่บนฐาน “อุดมการณ์ร่วม” แต่เต็มไปด้วยการจับแพะชนแกะ พรรคที่มีนโยบายขัดแย้งกันก็ถูกเอามายำรวมกัน เพื่อให้ได้เสียงข้างมากในสภา ผลคือรัฐบาลออกมาเละเทะ นโยบายผลักดันไม่ได้จริง เพราะต่างคนต่างดึงผลประโยชน์เข้าพรรคตัวเอง
แทนที่รัฐบาลผสมจะสะท้อนถึงการประนีประนอมเพื่อหาจุดร่วมที่มั่นคง กลับกลายเป็นการประนีประนอมเพื่อ “แบ่งเก้าอี้” เท่านั้นค่ะ ความเสถียรภาพที่ควรจะมีในระบบประชาธิปไตยจึงหายไป เหลือแต่ความปั่นป่วนและการบริหารที่ไม่ตอบสนองประชาชน
ข้ออ้างแบบโลกสวยที่ฟังไม่ขึ้น
บางคนอาจเถียงว่า “ก็รัฐธรรมนูญมาจากประชาชน ทำไมตอนนั้นไม่คัดค้าน”
คำตอบง่ายๆเลยนะคะ คือ ตอนนั้นมันอยู่ในยุค คสช. ใครจะไปคัดค้านได้เต็มที่ มันคือกติกาที่เกิดขึ้นภายใต้บรรยากาศที่ประชาชนไม่มีเสรีภาพจะปฏิเสธอย่างแท้จริง การพูดว่า “ประชาชนยอมรับแล้ว” มันคือการบิดประวัติศาสตร์และงี่เง่าสิ้นดีค่ะ
เพราะถ้ามี “มนุษย์สำนึก” สักนิดเดียว คุณก็ต้องยอมรับว่ามันคือความลักลั่นทางกติกา ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริงค่ะ
เรากำลังอยู่ในประเทศที่เลือกตั้งแต่ไม่ได้เลือก
เรามีสิทธิ์หย่อนบัตร แต่ไม่มีสิทธิ์กำหนดอนาคตอย่างแท้จริง
1
เรามีระบบที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ “เสียงข้างมาก” กลายเป็น “เสียงตกขอบ”
1
และเรามีรัฐบาลผสมที่ “เละเทะ” เพราะผสมกันด้วยผลประโยชน์ ไม่ใช่อุดมการณ์
และถ้าใครยังเถียงกลับด้วยข้ออ้างแถๆ เพื่อต้านสามัญสำนึก ฉันก็ขอบอกเลยนะคะ คุณไม่ได้ปกป้องประชาธิปไตย แต่คุณกำลังฝักใฝ่อำนาจนิยมอย่างเต็มตัวค่ะ
แต่ถึงรัฐธรรมนูญจะถูกแก้ไขได้จริง สุดท้ายก็ยังมีรัฐประหารที่สามารถสั่งเคลียร์ทุกอย่างทิ้งได้อยู่ดีค่ะ เพราะฉะนั้นประเทศนี้....สุดๆค่ะ
โฆษณา