22 ก.พ. 2019 เวลา 01:13 • ธุรกิจ
เมื่อแฟนผมต้องมาขายจาระบี
 
 
ในชีวิตของคนคนนึงโดยเฉพาะผู้ชาย การเลือกคู่ครองมาเป็นคู่ชีวิตนับเป็นจุดตัด จุดหักเห ของใครหลายๆคน สำหรับผมเองก็เช่นกัน
 
ก่อนที่เราจะตัดสินใจแต่งงานกัน เดิมทีแฟนของผมเพิ่งเปลี่ยนจากสายงานไฟแนนซ์ เพื่อมาเป็นเซลส์ขายของตามโครงการได้ไม่ถึงหกเดือน
 
ตอนนั้นถามว่าพร้อมมั๊ย เราสองคนก็ต้องตอบว่าพร้อมในแง่ของการมาใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน แต่หากถามแฟนผมว่าพร้อมจะเปลี่ยนงานมาช่วยงานออฟฟิศเล็กๆของครอบครัวมั๊ย ผมว่าตอนนั้นเธอก็คงโลเลอยู่ไม่น้อย แต่ด้วยเหตุปัจจัยหลายประการ สงสัยเธอคงสงสารผมที่ขับรถวิ่งหัวหมุนแทบทุกวัน และด้วยความที่ลูกค้าหลังๆ มีจำนวนมากขึ้น บางวันผมแทบจะต้องส่งของด้วยตัวเอง วางบิลเอง เก็บเช็คเอง เรียกว่าขับรถพอพอกับแท็กซี่ในกรุงเทพเลยล่ะ เลขไมล์รถผมขยับเร็วราวกับทำรางวัลสะสมแต้มบัตรเครดิต เราสองคนจึงตัดสินใจว่า ป่ะ เรามาขับแท็กซี่ไปด้วยกัน เอ้ยไม่ใช่ เธอมาช่วยชั้นทำงานที่บ้านดีกว่า
 
ในตอนนั้นยอดขายของผมจัดว่าเริ่มอยู่ตัว คือมีลูกค้าประจำที่เป็นฐานให้ในทุกๆเดือน บวกกับลูกค้าที่ไปวิ่งหามาเพิ่ม บวกกับลูกค้าที่คอลอินมาทางออนไลน์ที่ผมวางเบ็ดเอาไว้ รวมๆแล้วเดือนนึงก็มียอดขายในระดับที่เริ่มจะ “น่าพึงพอใจ” บางเดือนที่จังหวะดีมากๆ ยอดขายก็ขยับไปเกือบจะ 300,000-400,000 บาท ต่อเดือนเลยทีเดียว แต่ยอดขายตรงนี้ไม่ใช่ยอดแบบ passive income แบบ “พี่ไม่ต้อง น้องมาเอง” นะ ชีวิตผมไม่เคยได้อะไรมาง่ายๆ แบบนั้น แม้จะเป็นลูกค้าประจำก็ต้องอาศัยไปเยี่ยม ไปจดออเดอร์ เสนอราคากันเองตามขั้นตอน ประเภทว่าอยู่เฉยๆ แล้วออเดอร์มาเองนี่น้อยมากๆ เรียกได้ว่าเป็นยอดประเภทโคตรซุปเปอร์ active income สรุปคือ ไม่ทำ มึงอดน่ะแหละ ว่าง่ายๆ
 
แรกเริ่มที่เอาภรรยามาทำงานเป็นเซลส์ เพราะแน่นอนในออฟฟิศเล็กๆของเรามีงานให้ทำไม่มากหรอก นอกจากเซลส์ คนแรกที่ผมต้องเข้าไปวางแผนด้วยกันก็คือพ่อนั่นเอง แหงล่ะ ออฟฟิศเราไม่ได้รับเซลส์มา 5 ปี กว่าๆแล้ว ตั้งแต่เจอเซลส์นกกระจอกที่มาหลอกแดกไปวันๆ ทำให้พ่อผมเข็ดหลาบจนไม่กล้ารับเซลส์อีก
 
พ่อก็ไว้ใจภรรยาผมไม่น้อย เรียกว่ารับมาทำงานโดยไม่อิดออด เงินเดือนก็จ่ายให้ในระดับที่เหมาะสม แต่สิ่งนึงที่ผมกับพ่อเถียงกันคอแทบเป็นเอ็นก็คือ เราจะให้ภรรยาผมวิ่งขายตามเขต หรือวิ่งตามประเภทอุตสาหกรรม
 
ทั้งสองแบบมีข้อดีข้อเสียต่างกัน พ่อเห็นว่าวิ่งตามอุตสาหกรรมคุณจะได้การลงลึกคลุกคลีกับเครื่องจักรในอุตสาหกรรมนั้นๆ บวกกับคอนเนคชั่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน ที่มักจะรู้จักกัน reference กันไปมา อาจจะทำให้งานของเซลส์ใหม่ง่ายขึ้น และเพื่อกันความสับสนในการจับคู่จาระบีน้ำมันกับเครื่องจักรแต่ละประเภทที่เซลส์หน้าใหม่มักจะงงกันเป็นไก่ตาแตก
 
แต่ข้อดีของการวิ่งตามเขตที่ผมเห็นด้วยก็คือ “ความคุ้มค่า”และเวลาในการเดินทางนั่นเอง ง่ายๆแค่นั้น เพราะลองคิดดูว่าสมมติให้วิ่งตามอุตสาหกรรมแล้วคุณต้องขับรถไปไกลถึงมหาชัย แล้วดันมีโรงงานประเภทนั้นแค่โรงเดียว แต่ในระหว่างทางคุณผ่านโรงงานตั้งไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยโรง ก็เท่ากับคุณตัดโอกาสในวันนั้นทิ้งถังขยะไป เหมือนผลาญค่าน้ำมันและเวลาไปฟรีๆ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยว่าโรงงานที่คุณไปหามานั้น จะปิดการขายได้รึเปล่า .......
 
ผมเถียงกับพ่อจนไม่รู้จะเถียงกันยังไง สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการ “ยอม” (ผู้ใหญ่สมัยนี้ดื้อนะครับ 555)
 
พอผมยอมเท่านั้นแหละ พ่อก็โยนงาน อุตสาหกรรมสิ่งทอ มาให้แฟนผม ชนิดที่คนรับก็ยังงงๆ แต่ผมก็คิดในใจว่า ไม่เป็นไร ให้ลองทำตามป๊าว่าดู บางทีอาจจะเวิร์คแบบที่เราคาดไม่ถึงก็เป็นได้ หึหึหึ
 
อย่างไรก็ดี ผมต้องบอกเลยว่าผมมีประสบการณ์ที่จะไปสอนแฟนเรื่องอุตสาหกรรมนี้น้อยมาก ไม่ใช่เพราะว่าไม่เคยไปวิ่งขายนะ แต่เพราะเคยไปขายแล้วโดนกระเด้งกลับมาต่างหาก ผมรู้สึกว่าอุตสาหกรรมนี้ค่อนข้างหินและขายได้โคตรยาก เพราะเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบได้ ทั้งที่ของก็ใช้ได้เหมือนกันราคาก็ดีกว่า ลูกค้าก็ยังไม่ซื้อ ผมได้แต่คิดว่าอาจจะเป็นเพราะเรายังพยายามไม่มากพอ และพอเห็นโรงงานในอุตสาหกรรมอื่นที่ขายได้ง่ายกว่า ผมก็แทบจะลืมอุตสาหกรรมนี้ไปเลย เข้าทำนองได้ใหม่ก็ลืมเก่าน่ะแหละ
 
ฝั่งแฟนผมเอง พอรับมอบหมายงานมาก็เอารายชื่อลูกค้าเก่าที่หายไปหลายปีในอุตสาหกรรมสิ่งทอมาไล่ดู ไล่โทร ส่วนผมเองก็ต้องคอยเทรนแฟนตัวเองเหมือนกับเทรนเซลส์ใหม่ไม่มีผิด เพราะออฟฟิศเก่าที่แฟนเคยทำงานเป็นเซลส์ เป็นแบรนด์ระดับที่พูดไปคนก็ร้องขอชีวิต เรียกว่าลูกค้าแต่ละรายแทบจะรอซื้ออยู่แล้ว ซึ่งโคตรจะแตกต่างกับสินค้าแบบที่เราขายราวฟ้ากับเหว ผมเลยต้องเทรนแฟนตั้งแต่โทรนัดลูกค้าเลยทีเดียว แฟนผมยังยอมรับเลยว่า “ทำไมมันยากแบบนี้ล่ะเธอ” ผมก็ตอบว่า “ใช่จ่ะ ต่อไปนี้เธอต้องท่องไว้เลยว่า เธอคือแมลงสาปของโรงงานอุตสาหกรรม ที่โทรไปก็มีแต่คนรังเกียจ ไม่มีใครอยากคุยด้วย”
 
เมื่อแฟนผมได้ผ่านการเทรนนิ่งระยะสั้นเรื่องความรู้สินค้าจากผม ก็ได้เวลาปล่อยปลาลงน้ำ การปล่อยเซลส์ให้ไปเผชิญโลกแห่งความจริงแต่เพียงผู้เดียวเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยากและแม้แต่แฟนผมเองก็เช่นกัน ผมบอกแฟนว่า “เธอลองไปเจอดูเองก่อน เจอปัญหาอะไรแล้วค่อยมาว่ากัน (นะจ้ะที่รัก)”
 
กลุ่มลูกค้าฝั่งอุตสาหกรรมสิ่งทอ มักกระจุกตัวอยู่ในแถบสุขสวัสดิ์-พระประแดง หรือไม่ก็นู่นเลย อ้อมน้อย-เพชรเกษม ทำให้แฟนผมต้องขับรถไปแถบนั้นอยู่บ่อยๆ บางทีผมก็ตามไปประกบบ้าง แต่ส่วนใหญ่ผมจะปล่อยให้แฟนไปออกเผชิญปัญหาแก้ไขสถานการณ์ด้วยตนเอง
 
เวลาผ่านไปน่าจะประมาณสามเดือน ผมก็สอบถามแฟนเป็นพักๆ จากที่ไปออกตลาดจริงมา ผลลัพธ์ที่ได้เรียกว่าทำเอาผมอยากไปเขกกะโหลกพ่อตัวเองซักที (แต่ทำไม่ได้นะเดี๋ยวจะบาป แหะๆ) เพราะส่วนใหญ่โรงงานที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ถ้าไม่ใหญ่จริงมักจะอยู่ไม่ค่อยได้ ส่วนใหญ่แทบจะปิดกิจการ หรือมีรายได้เพียงแค่ประคองไม่ให้ตัวเองเจ๊ง เปรียบไปก็เหมือนอุตสาหกรรมตะวันตกดินน่ะแหละ ไอเรื่องจะมาสั่งซื้อจาระบีหรือน้ำมันเกรดพิเศษที่แพงกว่าราคาในท้องตลาดที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นไปอีก จากเดิมที่แทบจะไม่เหลือกำไรอยู่แล้ว จึงแทบจะม้วนเสื่อเก็บร้านกันไปได้เลย ก็เลยส่งผลมาถึงแฟนผมที่ไปวิ่งแต่อุตสาหกรรมนี้อย่างเดียว ไปโรงงานไหนก็มีแต่บอกว่า ไม่เอาๆ ไม่สนใจ เรื่องนี้เองทำให้แฟนผมเริ่มหมดกำลังใจในการทำงานและตัดพ้อกับผมบ่อยๆว่า “สงสัยชั้นคงไม่เหมาะกับมาขายของพวกนี้ล่ะมั้ง”
 
ตัวผมเองย่อมรู้จักแฟนผมดีที่สุด อันที่จริงหากมองจากภายนอกโดยไม่อคติแม้แต่นิดเดียว ผมคิดว่าแฟนผมทำงานดีกว่าเซลส์นกกระจิบที่โฉบมาแล้วผ่านไปในออฟฟิศไม่รู้กี่สิบคนซะอีก แต่เธอโชคไม่ดีที่โดนพ่อจับไปอยู่ในอุตสาหกรรมสิ่งทอซะมากกว่า นั่นไง ตรูว่าแล้วว่าวิ่งตามอุตสาหกรรมมันไม่เวิร์ค เวิร์ค เวิร์ค (เสียง echo ดังสามรอบ) แต่เหตุผลที่พ่ออยากให้แฟนผมมาวิ่งอุตสาหกรรมนี้เพราะมันเคยทำเงินให้บริษัทเป็นกอบเป็นกำในช่วงยุครุ่งเรืองของมัน ในสมัยนั้นผู้ประกอบการทุกท่านคิดอย่างเดียวคือ “ใช้ของที่ดีที่สุดเพื่อไม่ให้เครื่องจักรพัง” แพงเท่าไหร่ก็ยอมจ่าย นั่นแหละจึงทำให้สินค้าแบบเราสอดแทรกเข้าไปในอุตสาหกรรมได้อย่างลงตัว นอกจากนั้นแล้ว บริษัทสิ่งทอพวกนี้มักจะชอบบิลแบบชั่วคราว (ไม่ออก vat) ที่เราได้รายได้แบบเต็มๆ โดยไม่ต้องเสียภาษี (พูดงี้สรรพากรจะมาตามจับมั๊ยน้ออออ) ถ้าอยากจะนึกภาพออกว่าสิ่งทอเคยรุ่งเรืองถึงขนาดไหน ก็ถึงขนาดที่มีคำกล่าวของคนในวงการว่า ทอผ้าเหมือนพิมพ์แบงค์ แต่ในยุคสมัยปัจจุบันที่ผ้าผลิตจากเมืองจีนและเวียดนาม อินเดีย บังกลาเทศ ทำราคาได้ดีกว่า ความรุ่งเรืองของโรงทอผ้าในเมืองไทยก็จบลงอย่างช้าๆ ที่ยังคงประคองตัวอยู่ได้ มีกำไรเป็นกอบเป็นกำ ก็เฉพาะโรงขนาดใหญ่จริงๆ เท่านั้น
 
พอได้เห็นแฟนรู้สึกท้อแท้และตัดพ้ออย่างหมดกำลังใจ ผมก็รู้สึกผิดเหมือนกันนะ แต่สุดท้ายผมก็บอกแฟนว่า “งั้นเธอไม่ต้องสนใจอุตสาหกรรมนี้แล้ว ไปวิ่งนี่เลย อุตสาหกรรมอาหาร” รับรอง รุ่ง!!
คิดได้ดังนั้นผมกับแฟนก็ทำเป็นหูทวนลม เวลาพ่อถามว่างานที่ให้ไปวิ่งโรงทอไปถึงไหนแล้ว คือ ผมบอกแฟนว่าเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจกันทั้งสองฝ่าย เธอก็ไปวิ่งบ้างตามที่ป๊าบอกแต่วิ่งเฉพาะโรงใหญ่ๆ หรือโรงที่เป็น “ทางผ่าน” แต่เวลาส่วนใหญ่ผมอยากให้เธอไปทุ่มเทกับอุตสาหกรรมอาหารมากกว่า เพราะเรามีความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้ค่อนข้างสูง และที่ผ่านมาผมก็สร้างยอดขายได้เป็นกอบเป็นกำจากอุตสาหกรรมนี้น่ะแหละ
 
เพื่อให้งานมันง่ายขึ้น เพราะตั้งแต่แฟนผมเข้ามาช่วยผมแบบเต็มตัว ก็ทำยอดขายได้ไม่มากนัก ในระดับที่พ่อผมเริ่มมองว่า เอ๊ะ หรือว่าจะไม่เวิร์ค ผมก็ทำการถ่ายโอนลูกค้าที่เคยไปหาแต่ขายไม่ได้ลองให้แฟนไปวิ่งดู เพราะน่าจะง่ายกว่าให้แฟนไปเริ่มตั้งแต่แรก ผมมีลูกค้าที่เคยไปหาและปิดการขายไม่ได้เป็นกระตั๊ก แต่ที่ยอดขายโตเอาๆ เพราะอาศัยความขยัน อันนี้ปิดไม่ได้ก็หาใหม่ อันนี้ปิดยาก ก็ไปหาเจ้าอื่น ทำให้มียอดค้างบางตะเกียง ชนิดที่ว่าถ้ามีเวลาเพิ่มซักหน่อยคงจะดึงยอดขายมาได้ไม่มากก็น้อย
 
แฟนผมเอาเบอร์มือถือของช่างที่ผมมีในกำมือไปไล่โทรไล่ตาม ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมอาหารที่ขายได้ง่าย และอุตสาหกรรมเหล็กกระดาษ วิ่งไปได้หลักเดือนก็เริ่มเห็นผล มีลูกค้าที่ผมอดประหลาดใจไม่ได้ว่าทำไมตอนกูไปขายนี่ นัดยากนัดเย็น แต่พอเปลี่ยนเป็นผู้หญิงไปขายเท่านั้นแหละ นอกจากจะนัดง่ายแล้ว ยังซื้อง่ายอีกต่างหาก โอ้โหยยย รู้งี้ปล่อยรายชื่อพวกนี้ให้แฟนไปวิ่งนานแล้ว
 
ผมคิดว่าส่วนนึงนอกจากการเปลี่ยนเซลส์ที่เข้าพบแล้วบางทีอาจจะเป็นลูกเล่นการขายของผู้หญิงที่ผู้ชายอย่างเราเลียนแบบไม่ได้ แฟนผมนอกจากจะวิ่งไปคุยกับลูกค้าเฉยๆ แกยังมีลูกเล่นประเภทซื้อขนมนมเนยเล็กๆน้อยๆ ที่หาได้ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไปไปฝากเหล่าพี่ช่างที่ทำงานกะบ่ายด้วยความหิวโหย และบวกกับความสาวและสวย (แน่นอนแฟนผมต้องสวยสิ 55) พราวเสน่ห์ก็ทำให้เหล่าพี่ช่างเผ่าชีกออยากจะคุยอยากจะเข้าพบมากกว่าเซลส์ที่เป็นไอแว่นเนิร์ดผู้ชายพูดจาโผงผางแบบผม บทเรียนนี้สอนให้รู้เลยว่า เราจะเก่งคนเดียวไม่ได้ ต้องหาคนมาช่วยด้วยเพื่อให้งานเบาขึ้น อาจจะลำบากหน่อยในช่วงแรก แต่ต้องบอกเลยว่าผลลัพธ์นั้นคุ้มค่า
 
ใช้เวลาไม่นานแฟนผมก็ทำยอดขายไปแตะหลักแสนบาทต่อเดือนได้เร็วกว่าผมเสียอีก งานนี้ทำเอาพ่อผมตะลึงไปไม่น้อย เพราะไหนข้าบอกให้เอ็งไปวิ่งอุตสาหกรรมสิ่งทอ แต่ยอดขายเสือกมาจากอุตสาหกรรมอาหารได้ไงวะ แต่ยังไงก็ดี พอพ่อฟังเหตุผลเรื่องอุตสากรรมตะวันตกดินของสิ่งทอพ่อก็เข้าใจได้ ตราบใดที่เซลส์คนนั้นสร้างยอดขายให้บริษัท พ่อก็คงไม่ว่าอะไรล่ะกระมังครับ
1
โฆษณา