แด่ “แม่” เซลส์ที่เก่งที่สุด
ตอนนี้ขอขึ้นต้นด้วยคำสอนของท่าน ติช นัท ฮันท์ ที่กล่าวว่า สิ่งธรรมดาๆ อันเป็นสามัญนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
ผมเคยได้ยินคำนี้จากการอ่านหนังสือ ฟังแล้วก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลดี แต่ก็ไม่ได้รู้สึกกำซาบถึงคำๆ นี้เท่าที่ควร จนกระทั่งแม่ได้ลาจากโลกนี้ไป
ใช่ครับ แม่ผมไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว
ภาพธรรมดาสามัญที่กลับบ้านมาเจอแม่ถามว่าอยากจะกินอะไรกันดีเย็นนี้ หรือภาพการเดินเข้าออฟฟิศแล้วแม่ถามว่า “วันนี้ไปหาลูกค้าที่ไหนลูก ให้แม่ช่วยนัดให้มั๊ย” สิ่งธรรมดาสามัญที่เกิดจนเป็นกิจวัตรประจำวันของผมทุกวัน ที่บ่อยครั้งผมเคยนึกรำคาญความจุ้นจ้านของแม่ที่ยังคงมองผมเป็นเด็กอยู่ร่ำไป แม้ผมจะทำยอดขายจาก 100,000 เป็น 200,000 จนเป็น 300,000 – 400,000 บาท ต่อเดือน แม่ก็ยังเห็นผมเป็นไอเด็กติดรถในวันนั้นที่งอแงจะกลับบ้านเวลาแม่จะไปหาลูกค้าอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
ภาพธรรมดาเหล่านั้นมันไม่มีอีกแล้วครับ
วันที่ความธรรมดาสามัญอันแสนน่าเบื่อหน่ายมันหายไป วันนั้นเองที่เราจะเริ่มรู้สึกตัวเองว่า ไอความสามัญอันแสนน่าเบื่อนี่แหละเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดแล้ว ได้โปรดอย่าไปเปลี่ยนแปลงอะไรมันอีกเลย
แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ ทุกสิ่งในโลกล้วนเปลี่ยนแปลง
แม่ป่วยเป็นมะเร็งตั้งแต่ช่วงที่ผมใกล้จะแต่งงาน เราทั้งครอบครัวพยายามกันอย่างสุดชีวิตเพื่อยื้อยุดและต่อสู้ เป็นกำลังใจให้แม่ต่อสู้กับโรคร้ายนี้อย่างสุดซึ้ง แต่สุดท้ายแม่ก็อยู่กับเราได้เพียง 2 ปี ตั้งแต่ตรวจเจอ
แม่เป็นกำลังสำคัญของออฟฟิศเราตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเมื่อ 36 ปีที่แล้ว หลายๆคนอาจจะแปลกใจที่ผมไม่ค่อยเอ่ยถึงการทำงานของแม่ซักเท่าไหร่ เหตุผลก็เพราะว่าตั้งแต่ผมเข้ามาทำงานเป็นเซลส์อย่างจริงๆ จังๆ ที่ออฟฟิศ แม่ก็ลดบทบาทตัวเองลงมาเป็น ตำแหน่งอเนกประสงค์ ที่ทำงานประเภทที่คนอื่นไม่อยากทำ เช่น ส่งของ วางบิล เก็บเช็ค หรือแม้แต่ออกไปหาลูกค้าที่อยู่ไกลๆ งานไหนที่คนเกี่ยงกันแทบแย่ แม่จะออกตัวเป็นคนแรกเพื่อเคลียร์ปัญหาให้จบไป
แม่เป็นคนชอบทำงาน จนถึงเข้าขั้นบ้างานเลยก็ว่าได้
ผมยังจำภาพที่แม่ไปผ่ามะเร็งออกรอบแรก หลังออกจากโรงพยาบาล วันรุ่งขึ้นแกแต่งตัวอย่างสวยเพื่อไปเข้าออฟฟิศ เหมือนคนที่เก็บกดมานาน นั่นก็ทำให้รับรู้ได้เลยว่า งานคือชีวิตของแม่จริงๆ
บ่อยครั้งที่ผมรับโอนลูกค้ามาจากแม่ ลูกค้าก็มักจะพูดเสมอๆ ว่า “คุณนี่พูดจาเหมือนคุณ.......(ชื่อแม่) เป็นอะไรกันรึเปล่าครับเนี่ย” (ปกติผมมักจะไม่บอกลูกค้าว่าเราเป็นแม่ลูกกัน) ผมได้ยินประโยคทำนองนี้ทีไรก็รู้สึกดีใจนะครับ เป็นเพราะเสี้ยว
นึงผมมองว่าแม่เป็นยอดมนุษย์เซลส์วูแมนคนนึงที่หาตัวจับได้ยากมากๆ
ส่วนนึงของไหวพริบและการพูดจาขายของ ผมคิดว่าแม่คงถ่ายทอดมาให้ผมโดยไม่รู้ตัว ตัวผมเองก็คงกำซาบความเป็นนักขายของแม่มาโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน แม้จะไม่ได้ครึ่งนึงของที่แม่ทำก็เถอะ
ลูกค้าบางรายที่เคยเป็นของแม่ ผมก็ยังคงมีหน้าที่วิ่งไปเยี่ยมพวกเค้าเหล่านั้นอยู่ ทุกๆคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “คิดถึงแม่” ทั้งๆที่เราไม่ได้เป็นญาติโกโหติกากันมาแต่ไหน เราเป็นแค่ลูกค้ากับคนขายของกันธรรมดาๆ ผมยังสงสัยว่าแม่สร้างความสัมพันธ์กับพวกเค้ากันอีท่าไหน ทำไมลูกค้าถึงรู้สึกผูกพันกับแม่ได้ถึงขนาดนี้ ผมสำเหนียกตัวเองเลยว่าคงทำไม่ได้เท่าที่แม่ทำ
บางโรงงานผมประหลาดใจมากว่าแม่ขายของเข้าไปได้ยังไง เพราะลำพังบางทีที่ผมต้องเข้าไปส่งของ ยามยังไม่ค่อยอยากจะให้เข้า ถ้าผมเข้ามาขาย เอาแค่โทรศัพท์เข้าไปก็คงโดนโอเปอร์เรเตอร์วางหูไปก่อนแล้วมั้ง แต่แม่ก็ยังขายของเข้าไปได้
การสูญเสียแม่ถือเป็นความเสียหายอันยิ่งใหญ่ของออฟฟิศของเรา เหมือนกองทหารที่ไม่มีแม่ทัพ ทำให้ผมกับพ่อต้องกระเสือกกระสนกันแทบแย่ กว่าจะรักษาสุมดุลให้กลับมาดังเดิม เราต้องรับแมสเซนเจอร์ และคนส่งของเพิ่ม เพราะเราไม่มีมนุษย์อเนกประสงค์อย่างแม่อีกแล้ว โชคยังดีที่ผมได้แฟนมาช่วยงานพอดี ไม่อย่างนั้นเราคงต้องรับเซลส์เพิ่มมาอีกคน ทั้งหมดเพียงเพื่อมาทดแทนช่องว่างที่แม่ทิ้งเอาไว้
มาจนกระทั่งวันนี้ที่ออฟฟิศใหม่รีโนเวทเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมกับพ่อมองเข้าไปก็ยังนึกเสียดายว่าแม่ไม่มีโอกาสมาได้เห็นภาพเหล่านี้
โลกยังคงหมุนไป ธุรกิจยังต้องดำเนินไป สุดท้ายไม่ว่าจะยังไง เราก็ต้องดำเนินชีวิตและกิจการกันต่อไปแม้จะต้องเหนื่อยมากกว่าเดิม
ผมกับพ่อมีมติตรงกันว่าเราพร้อมสำหรับการรับทีมเซลส์ที่จริงจังมากกว่าแต่ก่อนแล้ว ผมกล่อมให้พ่อเริ่มลงทุนกับระบบการจัดเก็บข้อมูลลูกค้าอย่างจริงๆจังๆ เสียที แต่เดิมการจะหาข้อมูลลูกค้าแต่ละหน ผมต้องไปรื้อดูเอาจากบิลส่งของเก่าๆ เรียกว่าเอกสารทุกอย่าง on paper เหมือนเมื่อ 30 ปีที่แล้ว
ทุกธุรกิจย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลง แต่การเปลี่ยนแปลงหนนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดของออฟฟิศเรา ทั้งทีมเซลส์ ออฟฟิศใหม่ และระบบข้อมูล
ผมเองยังไม่รู้เลยว่าผลลัพธ์มันจะออกมาอย่างไร แม้กระทั่งที่เขียนมาถึงวินาทีนี้ การเปลี่ยนแปลงก็ยังหมุนวงโคจรของมันต่อไปยังไม่เสร็จสิ้น
ความสนุกของเรื่องต่อไปจากนี้ไม่ใช่การทำยอดขายให้ได้หลักแสน หลักสองแสนต่อเดือน หรือการกล่อมเกลา หลบยามไปหาลูกค้าอีกต่อไป แต่เป็นการก้าวเข้าสู่การบริหารทีมขายกันอย่างเต็มตัวและจริงจัง โดยพ่อมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ผมเป็นหัวหน้าทีมเซลส์ที่กำลังจะเซตขึ้นมาใหม่ พ่อเรียกว่า young blood (เอากะพ่อผมสิ)
หวังว่าเมื่ออะไรต่างๆ ลงตัวแล้ว “เซลส์นอกตำรา” ก็จะกลับมาพบกับทุกๆคนใหม่ หรืออาจจะเป็นภาค “เรียนรู้ไปด้วยกัน” ก็เป็นได้
ถึงเวลานั้นผมสัญญาว่าจะกลับมาเขียนเรื่องราวตามรายทางที่ไปประสบมาอีกครั้ง หวังว่าคงจะเป็นเรื่องราวดีๆ สนุกสนานอีกเหมือนเคย
ขอฝากข้อคิดเตือนใจสำหรับใครที่กำลังท้อแท้ เบื่อหน่ายกับสิ่งใดก็ตาม “ขอให้สนุกกับปัจจุบันขณะ” ให้รู้ว่า วันนี้ที่เรามีงานทำ มีเจ้านายคอยด่า มีลูกค้าคอยตามจิก มีแม่ที่คอยจุ้นจ้าน เป็นสิ่งที่พิเศษสุดๆแล้ว ให้ลองนึกถึงวันที่คุณตกงาน ไม่มีงานทำ ไม่มีลูกค้าคอยโทรหา หรือวันที่พ่อแม่ไม่อยู่ดูสิครับว่ามันจะแย่ขนาดไหน
กราบของพระคุณทุกๆท่านที่ติดตามนะครับ แล้วพบกันใหม่ (จริงๆนะ)