1 มิ.ย. 2019 เวลา 02:05 • ธุรกิจ
หัวเว่ย...ธุรกิจนี้เพื่อชาติ
ตอนที่ 10
ตลอดเวลา 30 กว่าปี ที่ เหริน เจิ้งเฟย พาขุนพลของพวกเขาเข้าสู้ศึกในตลาดโทรคมนาคมที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด
รบแล้วแพ้แพ้แล้วรบใหม่ ปรับปรุงแก้ไขกลยุทธ์ตลอดเวลา เขาต้องใช้กำลังแรงกายแรงใจอย่างหนัก
เมื่อบริษัท ไม่มีเงินทุนก็ใช้นโยบายให้พนักงานร่วมเป็นผู้ถือหุ้นนอกจากช่วยแก้ปัญหาด้านเงินทุนแล้วยังทำให้พนักงานร่วมมือร่วมใจกันทำงานอย่างเต็มที่เพื่อองค์กร
สำหรับพนักงานที่มีอายุงานถึงระดับหนึ่งก็เปิดโอกาสให้ทำธุรกิจเป็นของตัวเอง บางคนก็เป็นซัพพลายเออร์จัดหาอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนให้บริษัท บางคนก็รับดูแลเรื่องการบรรจุสินค้า รับตัดเสื้อให้พนักงาน หรือบางคนก็ไปเป็นตัวแทนจำหน่าย
ส่วนผู้มีอำนาจสูงสุดหรือ CEO ของบริษัทก็ใช้วิธีดำรงตำแหน่งตามวาระ ผลัดเปลี่ยนกันไปตามความรู้ความสามารถในแต่ละช่วงเวลา
แต่ถึงกระนั้น เหริน เจิ้งเฟย ก็ยังทำงานอย่างหนัก เพื่อให้หัวเว่ยขับเคลื่อนไปได้
ช่วงต้นปี 2000 ดูจะเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดสำหรับ เหริน เจิ้งเฟย นอกจากเขาต้องทำงานอย่างหนักในการพาหัวเว่ยก้าวพ้นวิกฤตฟองสบู่ไอทีไปให้ได้
เหตุการณ์ช่วงนั้นถึงกับทำให้ เหริน เจิ้งเฟย เข้าใจว่าทำไมเมื่อกิจการมีปัญหาผู้บริหารระดับสูงหลายรายจึงฆ่าตัวตาย
แต่ด้วยความที่เขาเคยเป็นทหารจึงรู้ดีว่าในภาวะสงคราม หรือ ถึงคราวที่กองทัพอยู่ในภาวะคับขัน แม่ทัพที่ดีจะต้องเป็นแสงสว่างนำทางให้กองทัพ
แต่เคราะห์ร้ายที่ เหริน เจิ้งเฟย ต้องเผชิญไม่ได้มีเพียงเท่านั้น
ในปี 2001 ขณะที่เขาติดตามประธานาธิบดีหูจิ่นเทาไปเยือนอิหร่าน ก็ได้รับโทรศัพท์แจ้งว่าแม่ของเขาประสบอุบัติเหตุที่คุนหมิง ทำให้เขาต้องเร่งเดินทางกลับโดยด่วน
แต่ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะเป็นอุปสรรคสำหรับเขา การเดินทางทุกขั้นตอนล่าช้าติดขัด กว่าจะถึงคุนหมิงได้ก็ไม่ทันได้ดูใจแม่
1
มีเรื่องเล่าว่าขณะเกิดอุบัติเหตุแม่ของเขาไม่ได้พกเอกสารใด ๆ ติดตัว จึงถูกส่งไปโรงพยาบาลในฐานะคนไข้นิรนาม
เรื่องการเสียชีวิตของแม่สร้างความสะเทือนใจให้ เหริน เจิ้งเฟย เป็นอย่างมาก เนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมาเขามัวยุ่งแต่การทำธุรกิจ จึงไม่มีเวลาดูแลพ่อและแม่
1
ครั้งที่พ่อของเขาเสียชีวิตในปี 1995 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หัวเว่ยกำลังดิ้นรนเพื่อเข้าสู่ตลาดโทรคมนาคม ทุกคนในครอบครัวจึงปิดบังการป่วยของพ่อ
1
เนื่องจากกลัวว่าจะทำให้เขาห่วงหน้าพะวงหลังจนไม่มีสมาธิในการทำงาน กว่าเขาจะรู้ก็เพียงแค่มาดูหน้าพ่อก่อนสิ้นใจเท่านั้น
เหริน เจิ้งเฟย ถึงกับยอมรับกับพนักงานว่าที่ผ่านมาเขา ไม่เคยผิดต่อแผ่นดินเกิด ไม่เคยผิดต่อประชาชน ไม่เคยผิดต่อธุรกิจและพนักงาน ไม่เคยผิดต่อเพื่อน
สิ่งเดียวที่เขาผิดและละอายใจเป็นอย่างมากคือผิดต่อพ่อแม่ ยามฐานะไม่ดีก็ไม่ได้ดูแลพ่อแม่ ยามฐานะดีก็ไม่ได้ดูแลพ่อแม่ ซึ่งทำให้เขาเสียใจมาจนทุกวันนี้
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เหริน เจิ้งเฟย เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก ซึ่งกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ต้องใช้แรงขับเคลื่อนอันยิ่งใหญ่
ซึ่งในบทเพลงแห่งจิตวิญญาณของหัวเว่ย ที่เขาแต่งขึ้นคงบอกถึงปณิธานอันยิ่งใหญ่ของเขาได้เป็นอย่างดี
“ หยั่งเท้าบนความฝันที่รุ่งเรืองของบรรพชน แบกความหวังความก้าวหน้าของชนชาติไว้บนบ่า เราซื่อสัตย์จริงใจใฝ่ก้าวหน้า เรียนรู้เทคโนโลยีล้ำสมัยของชาวอเมริกา ซึมซับการบริหารชั้นยอดจากญี่ปุ่น แม่นยำหมดจดดุจชาวเยอรมัน ทุกฝีก้าวบ่ยั่น หยั่งไปอย่างมั่นคง”
แต่ธุรกิจจะอยู่รอดได้นอกจากการบริหารงานที่ดีและการสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ ๆ ตลอดเวลาแล้ว ยังต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลหรือผู้นำประเทศที่มีวิสัยทัศน์ด้วย
กรณีของ เหริน เจิ้งเฟย และเหล่าขุนพลหัวเว่ย จึงถือเป็นกรณีศึกษาอันดีที่เราจะนำมาปรับใช้ในองค์กรหรือประเทศของเรา
1
ในดีมีเลวในเลวมีดีอยู่ที่มุมมอง ถ้าเรามองแต่สิ่งร้ายเราจะไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลยนอกจากจิตใจที่ขุ่นมัวและไม่มีที่ไป
1
📌ฝากกดไลค์ กดติดตามเพื่อเป็นกำลังใจให้พอดีด้วยนะคะ 😄😄😄
Reference : หัวเว่ย จากมดสู่มังกร
1

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา