27 มิ.ย. 2019 เวลา 10:30 • ธุรกิจ
SET INDEX อาจไม่ใช่ benchmark ที่ดีที่สุด
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ผมเกิดคำถามว่าทำไมดัชนี SET ปรับตัวขึ้นกว่า 35% แต่หุ้นที่ผมถืออยู่กลับไม่ค่อยปรับตัวขึ้นมากนัก จึงได้ลองทำการทดสอบเพื่อหาคำตอบนี้ ด้วยการจำลองพอร์ตโฟลิโอ จำนวน 1,000 พอร์ต แต่ละพอร์ตจะซื้อหุ้น 100 ตัว ด้วยเงินจำนวนตัวละ 1 ล้านบาท เลือกหุ้นด้วยวิธีการสุ่มจากหุ้นทั้งหมดที่มีอยู่ในตลาด ทำให้แต่ละพอร์ตจะมีหุ้นแตกต่างกันไป เพื่อป้องกันการลำเอียงและมีสมมติฐานว่าแต่ละคนมีวิธีการเลือกหุ้นไม่เหมือนกัน ระยะเวลาทดสอบตั้งแต่วันที่ 2016.01.01 ถึง 2019.06.24 พบว่า ผลตอบแทนเฉลี่ยของทุกพอร์ตโฟลิโออยู่ที่ 2.09% ซึ่งแพ้ตลาดอย่างมาก เพราะดัชนี SET ปรับขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันถึง 35.82% โดยที่แม้แต่พอร์ตที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดก็ยังมีผลตอบแทนเพียง 20.23% เท่านั้น ซึ่งนั่นอาจหมายความว่าความจริงแล้วหุ้นส่วนใหญ่ไม่ได้ปรับตัวขึ้นตามตลาด แต่อาจเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่ปรับตัวขึ้นส่งผลให้ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ก็อาจจะมีข้อโต้แย้งว่าการทดสอบครั้งนี้ถือหุ้นจำนวนมากเกินไปคือพอร์ตละ 100 ตัว ซึ่งก็จริง คือในชีวิตจริงคงไม่มีรายย่อยคนไหนถือหุ้น 100 ตัวในพอร์ต แต่การทดสอบในตอนแรกนั้นผมตั้งใจจะดูพฤติกรรมราคาหุ้นโดยรวมของทั้งตลาดว่าดัชนีส่งผลต่อราคาหุ้นอย่างไร โดยสิ่งที่ผมคิดตอนแรกคือ ถ้าดัชนีปรับตัวขึ้น หุ้นโดยรวมควรจะขึ้นตามดัชนี และหากคุณกระจายการลงทุน หุ้นที่คุณถือก็น่าจะขึ้นตามกระแสหลักของตลาด แต่ผลลัพธ์ที่ได้จากการสุ่มเลือกไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เพราะทุกพอร์ตโฟลิโอจำลองให้ผลตอบแทนแย่กว่าตลาดทั้งหมด แม้แต่พอร์ตที่ทำผลตอบแทนได้ดีที่สุดก็ทำได้เพียง 20.23% แสดงว่าหุ้นส่วนใหญ่ที่มีขนาดกลางและเล็กลงมาไม่ได้ปรับตัวขึ้นตามดัชนีเลยหรือถ้าปรับขึ้นก็เป็นจำนวนที่น้อย
ที่นี้ข้อโต้แย้งที่ว่าในความเป็นจริงไม่มีใครถือหุ้นถึง 100 ตัวนั้น ผมจึงได้ลองทำการทดสอบอีกครั้งโดยเงื่อนไขทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แต่ที่เปลี่ยนไปคือจำนวนหุ้นในแต่ละพอร์ตปรับลดจาก 100 ตัว เหลือ 20 ตัว เพื่อให้ใกล้เคียงกับสิ่งที่นักลงทุนทำมากขึ้น โดยผลที่ได้คือตารางนี้
ตารางแสดงผลตอบแทนและความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอทั้ง 1,000 พอร์ต (แบบย่อ) แต่ละพอร์ตถือหุ้น 20 ตัว ลงทุนตัวละ 5 ล้านบาท รวมพอร์ตละ 100 ล้านบาท
โดยพบว่า ค่าเฉลี่ยผลตอบแทนของทุกพอร์ตโฟลิโออยู่ 2.35% เพิ่มขึ้นจาก 2.09% ส่วนค่า %Drawdown อยู่ที่ -29.92% ก็ไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก แต่ที่น่าสนใจคือผลตอบแทนของพอร์โฟลิโอที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด 20 เปอร์เซนต์ไทล์แรก (พอร์ตโฟลิโอที่มีผลตอบแทนสูงที่สุด 200 อันดับแรก) อยู่ที่ 22.17% จากเดิมอยู่ที่ 10.34% เท่านั้น ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว แต่สิ่งที่เหมือนกับการทดสอบกรณีถือหุ้น 100 ตัวคือ ยังคงแพ้ตลาดเช่นเดิม และเมื่อดูที่พอร์ตที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุดคือ 49.06% ซึ่งถือว่าชนะตลาดพอสมควร แต่อย่าลืมว่านี่คือระดับที่อาจจะเรียกได้ว่าเพ้อฝัน คือถ้าเป็นนักลงทุนจริงก็ถือว่าเก่งมากๆ เพราะจำนวนพอร์ตโฟลิโอที่ชนะดัชนีมีอยู่ทั้งสิ้น 15 พอร์ตจากทั้งหมด 1,000 พอร์ตหรือคิดเป็นเพียง 1.5% ของประชากรกลุ่มตัวอย่างเท่านั้น
ทั้งนี้ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ในการทดสอบครั้งนี้จะดีขึ้นจากการที่พอร์ตโฟลิโอมีการ Focus ในหุ้นแต่ละตัวมากขึ้น ทำให้ผลตอบแทนโดยรวมดีขึ้นมา แต่ไม่ว่าอย่างไรพอร์ตส่วนใหญ่ก็ยังแพ้ดัชนีอยู่ดี ซึ่งข้อมูลตรงนี้สำหรับผมถือว่าสำคัญมาก โดยเฉพาะกับนักลงทุนที่ใช้วีธีวัดผลการลงทุนของตัวเองกับดัชนี SET ซึ่งก็จะแพ้ตลาดตลอดในช่วงสามปีที่ผ่านมา จนอาจจะทำให้สูญเสียความเชื่อมั่นในแนวทางการลงทุนของตัวเอง และพยายามหาวิธีชนะตลาดโดยไม่จำเป็น ทั้งที่ความจริงแล้วอาจจะไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่เป็นเพราะตลาดไม่ได้เอื้อให้กับกลยุทธ์ของพวกเขาต่างหาก ดังนั้นนักลงทุนแต่ละคนอาจจะต้องหาตัวชี้วัดใหม่ที่เหมาะสมกับกลยุทธ์ของตัวเองแทนที่จะใช้ดัชนี SET เพียงอย่างเดียว
**ผลการทดลองในครั้งนี้ไม่นับรวมผลตอบแทนจากเงินปันผล ข้อมูลผิดพลาดประการใด ผมขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย เป็นการแบ่งปันความคิดเห็นเท่านั้น
โฆษณา