21 ก.ค. 2019 เวลา 05:31 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
Tesla: a new unicorn or a new Enron
หนึ่งในบริษัทจากซิลิคอนวัลเลย์ที่กลายเป็นเรื่องถกเถียงกันว่าจะเป็น unicorn ตัวใหม่หรือจะกลายเป็น fraud เหมือน Enron ก็คือบริษัทรถยนต์ไฟฟ้า Tesla อันโด่งดัง
รถยนต์ Tesla รุ่น Model S 3 X และ Y
Tesla เป็นบริษัทรถยนต์ที่ใหม่มากเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นอย่าง GM BMW Toyota Honda Nissan แต่กลายเป็นที่จับตามองเนื่องจากเป็นผู้นำทางด้านรถยนต์ไฟฟ้าอย่างรวดเร็วด้วยโมเมนตัมที่เหลือเชื่อ ปัจจุบัน Tesla มียอดจำหน่ายในตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดในสหรัฐ และอีกหลายๆประเทศในยุโรป และจะเริ่มเข้าไปบุกตลาดจีนอย่างจริงจังในปีหน้าซึ่งตลาดจีนเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่มหาศาล ใหญ่กว่าสหรัฐถึง 3 เท่า
ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า 2018
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทรถยนต์ค่ายยักษ์ใหญ่ต่างๆ พยายามที่จะยื้อไม่เข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากต้องมีการทำ R&D ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลและจะทำให้กำไรลดลงและผู้ถือหุ้นไม่พอใจ แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วของ Tesla ทำให้บริษัทเหล่านี้จำใจต้องหันมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าก่อนที่ Tesla จะแย่งชิงตลาดไปครองทั้งหมด
นอกจากบริษัทรถยนต์แบบดั้งเดิมแล้ว ก็ยังมีบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าล้วนๆเกิดขึ้นอีกหลายร้อยบริษัทโดยเฉพาะในเมืองจีน แต่แทบไม่มีบริษัทใดเลยที่จะมีเทคโนโลยีเทียบเท่าหรือใกล้เคียงกับ Tesla โดยเฉพาะเทคโนโลยีเป้าหมายสูงสุดระบบการขับเคลื่อนแบบ Autopilot ระดับ 5 ซึ่งรถยนต์สามารถวิ่งไปยังที่หมายได้ด้วยตัวเองโดยคนขับนั่งเฉยๆ Tesla มีเทคโนโลยีเหนือกว่าคู่แข่งอื่นๆ (อาจจะรวมถึง Waymo ของ Google) อย่างน้อย 3-5 ปี
รถแท็กซี่ขับเคลื่อนอัตโนมัติ Waymo
สาเหตุที่ Tesla ได้เปรียบและนำหน้าคู่แข่งมาไกลมาจากเหตุผลที่ว่า Tesla มีรถยนต์วิ่งอยู่บนถนนทั้งในยุโรปและสหรัฐเป็นจำนวนหลายแสนคันแล้ว รถยนต์เหล่านี้จำนวนมากมีเซนเซอร์\กล้องและฟีเจอร์ระบบ autopilot ซึ่งผู้ใช้เปิดใช้งานเป็นครั้งคราว จากข้อมูลที่ MIT ทำการวิจัย พบว่าผู้ใช้งานเปิดใช้งานระบบ Autopilot 15% ของระยะเวลา หรือคิดเป็น 35% ของระยะทางทั้งหมด ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกอัพโหลดกลับไปยัง Tesla เพื่อใช้ในการเทรนระบบ AI ซึ่งเป็นหัวใจของระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ
1
ปัจจุบัน Tesla มีข้อมูลจากสถานการณ์จริงนับพันล้านกิโลเมตร ซึ่งครอบคลุมสถานการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสภาพแสงกลางคืน ขับกลางหิมะ เลนไม่ตรงกันเมื่อผ่านสี่แยก เส้นแบ่งเลนทับซ้อนกันจนมนุษย์ยังดูไม่ออก ทางโค้งแบบหักศอก สี่แยกไฟแดง ป้ายจราจรแบบต่างๆ วัตถุประหลาดต่างๆบนท้องถนน คนเดินข้ามถนน ฯลฯ ซึ่งขณะที่ผู้ใช้งานเปิดใช้ระบบ autopilot ในบางสถานการณ์เมื่อระบบ autopilot ล้มเหลว ผู้ใช้งานจะกลับเข้าควบคุมพวงมาลัยแทนระบบ
ข้อมูลการ intervene โดยผู้ใช้งานเหล่านี้จะถูกนำไปเทรนระบบ AI ให้เรียนรู้การตัดสินใจแบบมนุษย์ในสถานการณ์ต่างๆ ทำให้ระบบฉลาดขึ้น และ Tesla จะอัพเดทซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นใหม่ไปยังรถ Tesla แต่ละคันตลอดเวลา ทำให้ทุกครั้งที่มีการอัพเดต รถ Tesla จะขับเองได้เก่งขึ้นเก่งขึ้น และ Tesla คาดว่าภายในสิ้นปีนี้หรือปีหน้า ระบบ AI จะเรียนรู้การขับขี่ด้วยตนเองจนถึงระดับความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ระดับหนึ่ง (ไม่เต็มร้อยแต่ก็มีความปลอดภัยเหนือกว่ามนุษย์หลายล้านคนที่ขับรถแย่ๆ)
ข้อมูลการใช้งานจริงจากรถ Tesla นับแสนคันเหล่านี้มีมูลค่าทางธุรกิจมหาศาล เพราะไม่มีค่ายรถอื่นที่มีข้อมูลเทียบเท่ากับ Tesla เลย แม้แต่ Google ก็มีระบบ AI ขับเคลื่อนอัตโนมัติที่พัฒนาโดยใช้ข้อมูลจากการจำลองสถานการณ์ขึ้นมาโดยคอมพิวเตอร์เท่านั้น ไม่ได้ใช้ข้อมูลจากสถานการณ์จริงเหมือน Tesla จึงคาดว่าประสิทธิภาพจะตามหลัง Tesla อยู่หลายปี
และหาก Tesla สามารถพัฒนาระบบ self-driving นี้เสร็จสมบูรณ์ แผนธุรกิจขั้นต่อไปของ Tesla คือการทำให้รถ Tesla แต่ละคันสามารถเป็น RoboTaxi โดยเจ้าของรถแต่ละคันสามารถใช้ให้รถยนต์ของตนให้บริการแบบ ride-sharing กับผู้ใช้งาน taxi โดยจะคล้ายกับบริการ Uber แต่ต่างกันตรงที่เมื่อลูกค้าเรียกใช้บริการ รถ Tesla ที่ร่วมให้บริการจะวิ่งไปหาลูกค้าเองโดยไม่ต้องมีคนขับ ซึ่งจะทำให้บริการ RoboTaxi มีต้นทุนถูกลงกว่า Uber เป็นอย่างมาก เพราะค่าเชื้อเพลิงจะถูกลงและไม่มีค่าจ้างคนขับ
RoboTaxi กับแอพ ride-sharing จอง Tesla
หากบริการ RoboTaxi สามารถเปิดใช้งานได้จริง มูลค่าทางธุรกิจของ Tesla จะเพิ่มอีกมากมายมหาศาล ยังไม่นับรายได้จากธุรกิจพลังงานซึ่ง Tesla เปิดสถานี SuperCharger ปูพรมทั้งในสหรัฐ ยุโรป จีน และญี่ปุ่นไปแล้ว สถานี SuperCharger เหล่านี้ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งไม่มีต้นทุนเลย และ SuperCharger v3 ที่เริ่มทยอยเปลี่ยนในปีนี้สามารถชาร์จ 15 นาทีวิ่งต่อได้ 300 กิโลและคาดว่า v4 ในอนาคตจะสามารถชาร์จได้เร็วไม่ถึง 10 นาที
Supercharger v3 ลดเวลาในการชาร์จลงเหลือเพียง 15 นาที
นอกจากนี้ Tesla ยังจะมีรถยนต์ Model Y ซึ่งเป็นรถรุ่น mass ที่คาดว่าจะบุกตลาดเมืองจีน โดยตอนนี้ Tesla ได้เริ่มก่อสร้างโรงงาน GigaFactory 3 ในเซี่ยงไฮ้ซึ่งน่าจะเป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุดในโลกเพื่อต้นทุนที่ถูกลงไม่ต้องจ่ายภาษีนำเข้า และลดเวลาในการส่งมอบไม่ต้องขนมาทางเรือ จะทำให้ Tesla มีข้อมูลการขับขี่จริงจากลูกค้าอีกมหาศาลในเมืองจีนเมื่อโรงงานเริ่มผลิตและส่งมอบรถในสิ้นปีนี้หรือปีหน้าเนื่องจากคนจีนมอง Tesla เป็นแบรนด์พรีเมี่ยมที่แสดงสถานะทางสังคมเหมือนแบรนด์ Iphone
และ Tesla ยังมีแผนการผลิตรถบรรทุกและรถกระบะไฟฟ้า Tesla อันสุดล้ำออกมาในปีสองปีข้างหน้านี้อีก เรียกได้ว่ามีแผนธุรกิจที่ aggressive และก้าวหน้าเหนือคู่แข่งไปไกลมาก
แต่ปัญหาของ Tesla ตอนนี้คือการ burn cash เนื่องจากต้องลงทุนทางด้าน R&D และขยายโรงงานผลิตทั้งในสหรัฐ จีน และยุโรปมากมายมหาศาล กำไรจากการขายรถปัจจุบันนี้ยังไม่พอกับรายจ่ายลงทุนที่ต้องจ่ายไป ทำให้ยังไม่มีกำไรสุทธิ ซึ่งหาก Tesla ไม่สามารถระดมทุนมาได้ทันกับการใช้เงินมหาศาลนี้ บริษัทจะมีความเสี่ยงสูงมากที่จะล้มละลายเพราะขาดเงินสด
นอกจากนี้ Tesla ยังเผชิญกับการต่อต้านจากประเทศน้ำมันในตะวันออกกลางและค่ายรถอื่นๆที่ไม่ต้องการเปลี่ยนมาเล่นในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ตนเองไม่ได้เปรียบอีกต่อไป หุ้น Tesla ในช่วงที่ผ่านมาจึงถูก Short อย่างหนัก เรียกว่าหุ้นกว่า 20% ของ Tesla อยู่ในสถานะ Short และมีการจัดตั้งกลุ่มที่ชื่อว่า TeslaQ ขึ้นมาเพื่อกระพือข่าวร้ายต่างๆเกี่ยวกับบริษัทออกมาอย่างต่อเนื่องให้หุ้นตก
ขณะนี้จึงมีการต่อสู้กันระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุน Tesla ซึ่งต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมรถยนต์ กับอีกฝั่งคือกลุ่มผู้เสียประโยชน์ในประเทศตะวันออกกลางและผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่เก่าแก่รวมทั้งนัก short หุ้น
หาก Tesla รอดพ้นจากการล้มละลายไปเสียก่อน เราจะได้เห็นการ disrupt อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิง อุตสาหกรรมรถ Taxi อุตสาหกรรมการขนส่งสินค้า และอุตสาหกรรมอื่นๆตามมาอีกมากมาย เพราะ Elon Musk มีศักยภาพที่จะลากโลกให้เปลี่ยนตาม Tesla ได้
_________________________
หากชอบบทความประเภทนี้ ช่วยกดไลค์ด้วยครับ จะได้เขียนมาให้อ่านกันอีก
โฆษณา