31 ต.ค. 2019 เวลา 07:39 • ธุรกิจ
From E-Commerce to Investment
”ขายของออนไลน์ 15 ปี สู่การลงทุน
ซีรี่ย์ การตลาดออนไลน์ ตอนที่ 2
เป็นตอนต่อจากตอนที่แล้ว ปล ตอนนี้ยาวมาก อยากให้ Bookmark ไว้อ่าน เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านไม่มากก็น้อย
สมัยที่ผมขายของผ่าน eBay ยังชีพเมื่อหลายปีก่อน (2000s) ผมส่งของที่ไปรษณีย์ไทยบ่อยมาก แทบจะวันเว้นวัน จนสนิทกับเจ้าหน้าที่
ผมค่อยๆขายดีขึ้นเรื่อยๆ จนได้เป็น Power Seller โดย99.99% ขายไปต่างประเทศแทบทั้งหมด Feedback ตอนเลิกเกือบ 5 พัน
สมการธุรกิจที่เราทุกคนรู้ดีคือ
รายได้ - ค่าใช้จ่าย = กำไร
โจทย์คือ เราต้องเพิ่มรายได้ และ ลดค่าใช้จ่าย
ง่ายๆแต่ทรงพลัง ถ้าเข้าใจจริงๆ เราจะเพิ่มกำไรได้มากขึ้น โดยไม่จำกัดวิธี
ตัวอย่างการลดต้นทุนในการจัดส่ง
การส่งและการหีบห่อ นับเป็นต้นทุนสินค้าที่มีสัดส่วนมากสำหรับสินค้าของผม และผู้ขายในประเทศไทย จริงๆแล้วค่าส่งบ้านเราถือว่าค่อนข้างสูงกว่าประเทศอื่นๆอยู่แล้ว จากที่ผมเคยเปรียบเทียบกัน
ถ้าส่งไปต่างประเทศ ผมจะส่งแบบ Small Packet Air Mail (พัสดุย่อยทางอากาศ) แต่จะเย็บด้วยแม็ก ห้ามทากาว
เพราะเจ้าหน้าที่จะสุ่มเช็ค แล้วค่าส่งจะถูกกว่าแบบปิดผนึก แปะใบเขียว CN22 ระบุว่าของข้างในเป็นอะไร
แถมยังแปะรูปสินค้าให้ดูด้วย เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่า เค้าจะสุ่มเช็คของข้างใน ผมก็ช่วยอำนวยความสะดวกให้ (แต่จะทำให้เกิดเจ้าหน้าที่ขนส่งกิเลสมากขึ้นหรือเปล่า ก็ไม่อาจห้ามความคิดได้)
ผมเสียค่าลงทะเบียนต่างประเทศ 55 บาท/ชิ้น เพราะตรวจสอบสถานะ (Track) ได้
แต่ความเป็นจริง มันจะTrack ได้ก็ต่อมื่อของถึงประเทศเค้าแล้วเท่านั้น
และระหว่างที่ track ไม่ได้นั้นแหละ ลูกค้าจะมาสอบถาม บ่น บ้างถึงต่อว่า(อย่างหยาบคายก็มี)
ว่ายังไม่ได้ของ และคนที่ตั้งใจมาโกงก็มี และเยอะด้วย
เวลาเค้าสั่งซื้อ เวลาผ่านไปไม่กี่วัน เค้าก็ไปเปิด Case ใน eBay, Paypal และ Paypal มักจะให้ผู้ซื้อชนะ เพราะถ้าคนซื้อชนะ คนก็ยังซื้อใน eBay ต่อ
แล้วคนขายก็ต้องขายที่ที่มีคนซื้อ
สรุป เราส่งของไป เสียค่าของ เสียค่าส่ง เสียเวลา เสียความรู้สึกโดยที่ไม่ได้เงิน โดนด่า โดนให้ Negative Feedback
ลูกค้าก็จะไ้ด้ของในท้ายที่สุด เพราะเราเพิ่งมา Track ในเวปไปรษณีย์ไทยได้ในภายหลัง แต่มันก็ช้า ช้ามาก ไม่ทันการณ์ละ เริ่มเห็นช่องโหว่แรกแล้วรึยังครับ
ประมาณการของที่ผมส่งด้วยวิธีลงทะเบียน คูณจำนวนชิ้นเข้าไป พบว่า ผมเสียค่าประกันเป็นเงินหลักแสนบาท !!
แน่นอนว่า เมื่อเราส่งของมากๆ ก็จะมีบ้างที่ ของไม่ถึงเมื่อผู้รับ หายกลางทาง ถูกตีกลับด้วยสภาพยับเยินแตกต่างกันไป
แต่สิ่งทำให้รู้สึกผิดหวังมากคือ ผมไม่เคยได้เงินประกันคืน แม้นแต่บาทเดียว ย้ำ ไม่ได้แม้นแต่บาทเดียว
ทั้งๆที่จ่ายเงินค่าประกัน และทำเรื่องตามขั้นตอน
ในฐานะผู้ส่งที่ดีที่ควรจะทำ
นับแต่นั้น เมื่อวิธีเดิมไม่ได้แก้ปัญหา และคงไม่คาดหวังว่ามันจะเกิดได้ในเร็ววัน ผมก็ต้องหาทางเอาเอง
หลังๆผมเลยใช้วิธี ให้ลูกค้าเลือกว่าจะส่งแบบไหน
ถ้าจะลงทะเบียนจ่ายอีกราคานะ แต่ผมจะใช้วิธีถ่ายรูปของทุกชิ้นตอนทีส่ง ณ เคาเตอร์ไปรษณีย์+ Slip แล้วส่งให้ลูกค้าดูทุกชิ้นแทน
ผมประหยัดค่าลงทะเบียนไปได้ และกันเงินไว้ส่งซ้ำและของขวัญให้ลูกค้า ก็ยังเหลือและประทับใจลูกค้ามากกว่า
แล้วถ้าลูกค้าไม่ได้รับของเกิน 2 สัปดาห์ ผมก็บอกเค้า ผมกำลังส่งไปให้ใหม่ แถมของกำนัลเล็กๆน้อยๆด้วย แล้วถ่ายรูปให้ดูด้วย
(เกร็ด ข้างในพัสดุ ผมก็จะสอดแผ่นพับเล็กๆ เป็นคูปองโค้ด ว่าไปซื้อของได้ที่เวปผมข้างนอกนะ เพราะค่าธรรมเนียม eBay แพง แต่ eBay มี Traffic เยอะ เหมือนห้าง Central ที่ร้านก็อยากไปเปิดที่นั่น แต่ราคาค่าเช่ามันแพงกว่าที่อื่น
อ่านเกมใหญ่
เกมที่เราจะเล่นคือ เร่งสร้างลูกค้าใหม่จากแหล่งที่มีลูกค้ามากๆ แล้วโยกลูกค้าไปเส้นทางที่ต้นทุนต่ำที่สุด ซึ่งก็คือเวปของเราเอง
ผมขายของ Online อยู่หลายปี ประกอบกับรับทำเวป ทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว ระหว่างนั้นก็ศึกษาการลงทุนหุ้นเรื่อยๆมา
กิจวัตรของผมในช่วงนั้น ถ้าว่างจากทำเวป ก็ถ่ายรูปของ เขียนบรรยาย เล่าเรื่องให้น่าสนใจ ห่อพัสดุ ตอบคำถาม ระหว่างนั้นก็เปิดฟังคลิปการลงทุน ธุรกิจไปเรื่อยๆ
มือทำ แต่หูยังว่างนี่
ผมจึงเรียนรู้ด้วยหูมากที่สุดทางนึง
จะบอกว่า การขายของ Online มันฝึกให้เหมือนเรากำลังเรียนโรงเรียนสอนธุรกิจ ตั้งแต่ต้นทางยันปลายทาง แบบทำจริง เหนื่อยจริง เจ็บจริง แล้วจะได้รู้จริงๆ ไม่ใช่มโนแล้วนั่งนึกเอาล้วนๆ
ตั้งแต่หาตลาดว่าจะขายอะไรดี อันนี้ก็ฝึก
SWOT + Marketing Mix
เราต้องหาของที่บ้านเรามี แต่บ้านเค้าไม่มี แล้วเค้ายินดีจ่ายด้วยนะ เอ้อ คิดดูสิว่าขายอะไรดี
ฝึกการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดแบบไหนบ้าง > Marketing Strategy
โจทย์ในการตลาดคือ ทำไงให้ลูกค้าเยอะขึ้น(ใหม่กับลูกค้าเก่ากลับมา) และ ยอดใช้จ่ายสูงสุด (ARPU)
ผมจัดหน้าร้านให้ดูสวย แบ่งหมวดหมู่ให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่าย (มันคือการออกแบบเส้นทางให้ลูกค้าเดินทาง จนบรรลุเป้าของทั้งเค้าและเรา)
จนมีคนลอกรูปแบบเอาไปทำ (การโดนลอกถือว่า เป็นการพิสูจน์ว่า เราทำดีจริง จนถึงวันนี้ผมโดนลอกในหลาย Product & Solution จนมานับไม่ถ้วนละ
แต่ก็ยังไม่ชินและเจ็บทุกครั้งอยู่ดี ถ้ายิ่งลอกแล้วยังไม่ให้เครดิตด้วย)
ได้ฝึกการคำนวณและควบคุมต้นทุนสินค้า และค่าขนส่ง > Cost & Supplier Management
จะบอกว่า หลายคนที่เคยมาคุยแล้วอยากทำตาม ขายไปได้หลายชิ้น แต่ยิ่งขายเยอะยิ่งขาดทุน เพราะไม่เคยคำนวณว่าต้นทุนตรง ต้นทุนแฝง ต้นทุนเวลาเรามีอะไรบ้าง
ฝึกการเล่าเรื่อง การบรรยยายสินค้าที่จะขาย ของแบบเดียวกัน เราจะขายยังไงให้ขายได้ และได้ราคาที่ดี
– ตอนอิตาลีได้แชมป์โลกปี 2006 โปสเตอร์ใบละ20 ผมขายได้ใบละ 2,000
– หนังสือ StarSoccer เล่มละ 20 บาท ขายได้ 20,000 บาท
ฝึกเป็นคนช่างวิเคราะห์ ด้วยความที่ผมอยู่ในสายทำเวปมาก่อน ส่วนนึงที่ผมชอบมากคือ ชอบดู Web Stats
คือเราอยากรู้ว่า คนเข้ามาอ่านหน้าไหนเยอะ
จากการค้นคำว่าอะไร แล้วมาด้วยวิธีไหน แล้วคนจะออกจากร้านเราหน้าไหน เข้ามาดูวัน เวลาไหน เยอะเป็นพิเศษ
ข้อมูลเหล่านี้สำคัญมาก เพราะมันเป็นเหมือนร่องรอยพฤติกรรมของลูกค้าที่มักจะทำเหมือนๆกัน
ถ้าคุณเริ่มแกะรอยเจอ คุณก็มีโอกาสทำซ้ำได้อีก
ต่อให้ธุรกิจคุณไม่ได้ Online แต่คุณก็ควรจะสร้างเครื่องมือให้ Track ได้อยู่ดี ว่าลูกค้าเราเป็นใคร อาชีพ รายได้เท่าไหร่ ทำไมถึงมาซื้อของเรา ใครแนะนำมา
พอคุณเริ่มเก็บข้อมูลพวกนี้ คุณก็จะเริ่มรู้ว่า ควรจะลงทุนหาลูกค้าในเส้นทางไหน ถึงจะคุ้มค่ามากที่สุด
การจัดเก็บ Stock > Inventory & Logistic Management
การตอบคำถามกับลูกค้า > Customer Management
(ผมทำเป็น Template ไว้เลย ว่าถามแบบไหน จะตอบแบบไหน ก็ประหยัดเวลาไปได้เยอะ)
ช่วงแรกขายของได้เท่าไหร่ ก็เอามาลงหุ้นเกือบทั้งหมดเพราะเชื่อว่าจะเป็นหนทางที่จะพาเราไปสู่บันไดอีกขั้นได้
เพราะมองว่า สมการของการค้าขายคือ เครื่องหมายบวก “+”
แต่สมการของการลงทุนนั้น เครื่องหมายเป็นคูณ “x”
ถึงแม้นจะผ่านช่วง Subprime (2007-2010) ก็ถึงขั้นปิดจอไม่ดูหุ้นอยู่นานเพราะมันห่อเหี่ยว แต่ก็ยังฟังคลิป อ่านนู้นนี้ไปเรื่อยๆ
ช่วงนั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นศึกษาการลงทุน ด้วยตัวคนเดียว ก็รู้สึกว่า เราคิดไปเองคนเดียวรึเปล่า อาจจะถูกด้วยเหตุผลผิดๆรึเปล่า ก็เลยเขียนออกมาให้เพื่อนอ่านในกลุ่มเล็กๆ เรื่อยมา เพราะผมชอบบันทึก
จนรู้สึกว่า มันชักเยอะ และน่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นบ้าง เลยรวบรวมมาเขียนใน Blog
(สมัยนั้นยังไม่มี Facebook หรืออยู่ในยุคเริ่มต้นนี่แหละ)
พอเขียน Blog มันก็เหมือนมีคนมาคุย มาถกกันมากขึ้น เลยเป็นที่มาให้รู้จักเพื่อนๆที่ดีมากมาย เอ๊ะๆ ตั้งใจจะเขียนแค่เหตุจากไปรษณีย์ขึ้นค่าขนส่ง เลยลามมานี้ ก็เอาเป็นว่าประมาณนี้ละกัน
แต่อยากจะบอกว่า การที่ผมได้ขายของบน eBay และอีกหลายๆที่ มันเป็นเหมือนได้ลงสนามธุรกิจจริงๆ มันก็ช่วยให้เราเห็นภาพในการลงทุนได้ชัดขึ้น ในหลายๆมิติ
มี 108 อย่างที่ควรจะทำ แต่ส่วนที่สำคัญคือ การจัดลำดับความสำคัญของงานที่ต้องทำ (Prioritize)
มันจะมีไม่กี่อย่างที่เราจะเลือกทำ แล้วมันจะส่งผลต่อธุรกิจอย่างมีนัยยะ เพราะเรามีข้อจำกัด ทั้งแรงงาน เวลา และทุน
(ไว้ติดตามตอนต่อไปครับ)
เขียนไว้ครั้งแรก 26 สิงหาคม 2559
ที่ Shaen.net
เพจ มองกรรไกร
Youtube มองกรรไกร

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา