20 ส.ค. 2019 เวลา 06:34 • ธุรกิจ
## ทำน้อยแต่เข้มข้น ดีกว่า ทำถึกๆ ทนๆ แต่ได้ผลไม่คุ้มค่า ##
.
.
เมื่อวานนี้ (18 ส.ค.62) ประมาณบ่ายโมง ขณะที่ผมกำลังนั่งกินกาแฟและอ่านหนังสืออยู่ที่ร้านเข้าท่า อ.ปาย
มีพี่ที่รู้จักกันคนนึงเดินเข้ามาทัก
และสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าเขียนเล่าให้ฟัง มันจะยาวมาก
ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คิดจะเลื่อนผ่าน
ก็ unfriend ผมไปในคราวเดียวกันจะดีกว่า
.
หาก ความยาวของบทความ มันหยุดความเจริญก้าวหน้าของชีวิตคุณได้ครั้งนึง
มันก็จะหยุดคุณไปเรื่อยๆ ครับ
 
เชิญเอาเวลาที่ต้องเสียให้บทความนี้กลับไปใช้กับ newfeed ที่เต็มไปด้วยเรื่องชาวบ้าน
เที่ยวไหน กินอะไร รวยแค่ไหน ชีวิตชิลล์ขนาดไหน
ได้ตามสะดวก
เวลาผมมีจำกัด เวลาคุณก็มีจำกัด
เราให้ความสำคัญกับเวลาไม่เหมือนกัน
อย่าให้บทความนี้ รบกวนชีวิตคุณมากจนเกินไป
ถ้าไม่อ่าน ก็ unfriend ไป ง่ายดี
ถ้าตั้งใจจะอ่าน อ่านให้จบ แล้วมาคุย มาแลกเปลี่ยนกัน
พวกที่แชร์ไว้อ่าน เพราะไม่สะดวก ก็ขอให้ไม่สะดวกจริงๆ
ไม่ใช่อ้างว่าไม่สะดวก แล้วมึงก็ไปเลื่อน newfeed ต่อ
.
ทั้งหมดที่เขียนมา ยาวมั้ย? ยาว
แต่นี่แค่เกริ่น
ของจริงยาวกว่านี้หลายขุม และผมขอเตือนว่ามันมี call to action ที่ทันทีที่คุณอ่านถึง
คุณอาจอยากจะลุกขึ้นไปทำซะเดี๋ยวนั้น
แต่ผมไม่ได้คาดหวังว่ามันจะเกิดกับทุกคน
เพราะคนส่วนมากทำได้แค่ “อยาก”
หลังจากอยาก ก็จะหยุดกันง่ายๆ ไปซะอย่างนั้น
ว่ากันว่าระหว่างที่รูดมือถือแล้วเจออะไรบางอย่างที่ทำให้อยากได้
กระบวนการตั้งแต่อยากจนถึงหยุด จะเกิดขึ้นในเวลาไม่เกิน 1.7 วินาที เท่านั้นเอง
จริงๆ แล้วพวกเขาไม่ได้ผิดอะไรหรอก
เทคโนโลยีทำให้เขามีอิสระที่จะทำตามใจตัวเองมากขึ้น และเลือกได้มากขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งแน่นอนคนส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่ทำอะไร ไม่เปลี่ยนอะไร ไม่เคลื่อนไหวอะไร
ผมเข้าใจดีว่า
การเปลี่ยนแปลง คือ สาเหตุที่ทำให้มนุษย์วิตกกังวลมากที่สุดสาเหตุหนึ่ง
แต่ผมก็เข้าใจลึกซึ้งอีกเช่นกันว่า
ที่ชีวิตคนส่วนใหญ่ไม่เปลี่ยน ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่อยากเปลี่ยนนะ
พวกเขาล้วนอยากเปลี่ยน
แต่ที่เขาไม่ได้รับการเปลี่ยน
เพราะพวกเขา แม่งไม่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนซักที
ถีบตัวเองไม่เป็น
สะดวกใจกับการมีคนมาช่วยถีบ
และพอโดนถีบเข้าจริงๆ
เจ็บจริง อะไรจริง
พวกเขาก็จะช็อคน้ำ และเรียกร้องหาความปราณีอ่อนโยน
บ่นบ้าว่า
ฉันไม่เห็นต้องเหนื่อยยากขนาดนี้เลย นู่นนี่นั่น
มันน่าจะมีวิธีการที่ง่ายกว่านี้สิ
วิธีการของไอ้คนที่มันถีบฉันอยู่นี่มันป่า มันเถื่อน
มันสะเทือนจิตใจฉันเหลือเกิน
ว่าแล้วก็รูด newfeed เพื่อที่จะพบเจอโอกาสในการเปลี่ยนแปลงครั้งต่อไป ...
.
สำหรับคนที่เป็นแบบนั้นอยู่
ผมขอย้ำว่า
ต่อให้ร้อยรวิศ หาญอุตสาหะ
พันบอยวิสูตร Food for thought
หรือหมื่นโทนี รอบบินส์
ก็ไม่สามารถเยียวยาอาการล้มเหลวเรื้อรังซังกะตายของคุณได้
มีทางเดียวเท่านั้นที่คุณจะได้ไปต่อกับชีวิต
คือเลิกคิดถึงความเป็นไปได้
และหันมาใช้วิธีการง่ายๆ อย่าง “การตัดสินใจ”​ ซะ
อย่างน้อยที่สุด บทความนี้จะทิ้งร่องรอยอะไรบางอย่าง
ให้กับผู้ที่ “ตัดสินใจจะเปลี่ยนแปลง” เอาไว้ให้
.
ถ้าคุณยืนกรานจะอ่านบทความนี้ต่อ
ผมขอร้องแกมบังคับให้คุณ “ตัดสินใจ” อ่านให้จบภายในรอบเดียว
แล้วค่อยแชร์เก็บไว้อ่าน เก็บไว้ดึงข้อมูล เก็บไว้หาคีย์เวิร์ด
ส่วนใครที่ไม่ไหวแล้วกับคำโปรยเถื่อนๆ
ที่อ่านไป โดนไล่ไป
แนะนำให้ unfriend กดเลิกติดตาม เป็นไปได้ให้บล็อกไปเลย
หลังจากนี้อย่ามองหาคำว่าปราณีจากบทความของผม
แม้จะไม่มีเครื่องหมายตกใจแม้แต่ตัวเดียว
แต่ ... มันจะเถื่อนมากขึ้นเรื่อยๆ
กระทืบใจมากขึ้นเรื่อยๆ
และไร้เมตตามากขึ้นเรื่อยๆ
พอกันทีกับไม้นวม
เวลาของผมเหลือไม่มาก เช่นเดียวกับเวลาของพวกคุณ
.
เหตุการณ์ทั้งหมดที่จะเล่าให้ฟังในโพสต์นี้
โปรดเก็บเกี่ยวให้มากที่สุดและเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะผมไม่รู้ว่าจะถูกเจ้าตัวขอร้องให้ลบหรือไม่ทันทีที่เขาได้อ่าน
ซึ่งถ้าเขาขอ ผมก็จะจัดให้ทันที
.
เมื่อวานนี้ (18 ส.ค.62) ประมาณบ่ายโมง ขณะที่ผมกำลังนั่งกินกาแฟและอ่านหนังสืออยู่ที่ร้านเข้าท่า อ.ปาย
มีพี่ที่รู้จักกันคนนึงเดินเข้ามาทัก
และสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้ผมได้ตระหนักอะไรบางอย่าง
ซึ่งมันสำคัญมากพอที่ผมจะได้เอามาเล่าให้ฟัง
.
ตลอด 4 ปีที่ทำธุรกิจมา
ผมจะมีหนังสือที่พกติดตัวไปไหนมาไหนด้วยตลอดเวลาอยู่เล่มหนึ่ง
หลายคนรู้ดีว่า ผมพูดถึงมันบ่อยมาก และแนะนำให้ทุกคนไปหาซื้อมาอ่านด้วย
นั่นก็คือ หนังสือ Scientific Advertising ซึ่งถูกเขียนขึ้นเมื่อประมาณร้อยกว่าปีก่อน
และถูกแปลไทยโดย อ.เจษฎา วีรบุญชัย ที่ผมติดตามมาตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจ
หนังสือเล่มนี้ทำให้ทุกหนังสือการตลาดกลายเป็นเรื่องไม่น่าตื่นเต้นเท่าไหร่สำหรับผม
หากคุณคุ้นชินกับคำว่า “สูงสุดสู่สามัญ”
หนังสือเล่มนี้ อธิบายสิ่งนั้นได้อย่างแจ่มชัด
หากผมจะบรรยายสรรพคุณของมันต่อไปอีก 2-3 บรรทัด
บทความนี้จะต้องถูกใครบางคน (อาจจะเป็นคุณ) เข้าใจว่านี่คือเซลเพจขายหนังสือ
บริษัทโอมเพี้ยงมาร์เกตติ้งของ อ.เจษ จะมีเงินมากขึ้น
โดยที่ผมอาจจะได้ส่วนแบ่งเป็นเปอร์เซนต์ในฐานะที่เชียร์หนักหนา
ฉะนั้น ผมขอหยุดอวยหนังสือเล่มนี้ไว้แค่นี้ก่อน
ถ้าคุณอยากรู้ว่าทำไมเกือบทุกคนที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว
ต่างยินดีที่จะกลับมาอ่านมันอีกเสมอ แม้เป็นสิบเป็นร้อยรอบก็ตาม
ผมขอแนะนำให้คุณไปหาซื้อมาอ่านซะ จะได้หายสงสัย
ทั้งนี้ ขอแสดงความยินดีกับคนที่มีมันอยู่ในครอบครองแล้ว
เปิดอ่านซะล่ะ ถ้าสิ่งที่ผมเขียนถึงไปย่อหน้าที่แล้วไม่เป็นความจริง คุณมาด่าผมในโพสต์นี้ได้เลย
ผมจะได้รู้ว่า คุณยังติด หรืออับทึบในเรื่องไหน
ผมจะด่ากลับก่อนในเบื้องต้น หลังจากนั้นจึงจะเริ่มทะลวงจุดให้
.
ระหว่างที่ผมกำลังอ่านหนังสือเล่มนี้ซ้ำรอบที่ 41 อยู่ (ผมซีเรียสกับตัวเลขนี้ เพราะผมอ่านไป 40 จบแล้วจริงๆ)
พี่ที่รู้จักกันคนนั้นเดินเข้ามาในร้าน เราทักทายกันพอเป็นพิธี
แล้วพี่คนนั้นก็มานั่งโต๊ะผม
“อิจฉาจังเว้ย ใครมันจะไปชิลล์อย่างไอ้เบนซ์วะ”
ผมยิ้มรับ ปิดหนังสือ ยกกาแฟขึ้นจิบ เลิกคิ้ว แล้วตอบกลับ
“ไม่ชิลล์เท่าไหร่หรอกพี่ ผมแค่วางระบบให้ผมทำงานจากที่ไหนก็ได้ เลยกลับมาอยู่กับแม่ง่ายหน่อย”
พี่คนนั้นพยักหน้า แล้วมองไปที่หนังสือในมือผม
“เฮ้ย เล่มนี้พี่ซื้อมาแล้ว ซื้อตอนที่เบนซ์แนะนำในเพจตอนนั้น”
ผมนึกตามคำพูด ไม่รู้หรอกว่าพี่เขาหมายถึงตอนไหน
เพราะผมแนะนำคนเกือบทุกครั้งที่นึกได้
คุยไป กรีดหน้าหนังสือไป
Post-it ที่แปะคั่นไว้เผยอตามแรงกรีด
“อ่านแล้วเป็นไงบ้างพี่?” ผมถาม
“ก็…” ที่เขาทำท่านึก “ดีอ่ะนะ”
แล้วพูดต่อ “แต่พี่ว่ามันธรรมดาเกินไป เรื่องแบบนั้นใครๆ ก็รู้ป่าว”
“ใครๆ ก็รู้ แต่ไม่ใช่ใครๆ ก็ทำ ไงพี่”
ผมไม่ได้จงใจขัดคอ
“พี่ลองเอาไปทำดูดิ xxxxxของพี่ จะขายดีขึ้น”
(สำหรับสายเผือก ผมจะปลดเซนเซอร์ทันที ถ้าพี่เขามาเห็นและอนุญาตให้เล่า)
“แต่พี่ก็ทำแบบของพี่อยู่แล้วนะ”
“แล้วผลลัพธ์มันดีมั้ยล่ะ”
“ดีดิ มันก็เลี้ยงตัวมันได้”
“แล้วพี่จะมาอิจฉาผมทำไม” ผมยิ้ม “ถ้ามันเลี้ยงตัวมันได้ พี่ก็ไปไหนมาไหนได้อ่ะดิ“
“โถ่เบนซ์ เบนซ์อ่ะโชคดี เจอธุรกิจที่ทำง่าย แค่อัดคลิปสอนๆ มันไม่เหมือนแบบพี่นิ่”
“พี่คิดว่ามันง่ายจริงๆ เหรอ?” ผมยิ้มอีกครั้ง “ถ้าพี่คิดว่ามันง่าย พี่มาทำดู”
“แล้วพี่จะไปเอาความรู้จากไหนมาสอนคน”
“เห็นมั้ย” ผมยกนิ้วชี้ขึ้น “แค่พี่เริ่มคิดถึงโปรดักส์ มันก็ไม่ง่ายแล้ว”
.
พี่เขานิ่งไป ทำหน้าครุ่นคิด ดูเหมือนจะเริ่มไม่แฮปปี้กับการเจอกันเท่าไหร่
เหมือนร่างกายพี่เขากำลังจะลุกออกไปจากตรงนั้น
แต่ศักดิ์ศรีทำให้พี่เขาแสยะยิ้ม
“คนเรามันมีวาสนาไม่เหมือนกันเบนซ์” และส่ายหัว “พี่อยู่ของพี่แบบนี้มานาน จะไปเริ่มทำอะไรใหม่ๆ มันไม่ใช่ของง่ายๆ”
“ผมไม่ได้บอกให้พี่เลิกทำxxxxx แล้วมาสอนคน ผมกำลังบอกให้พี่ปรับวิธีการ”
เอาจริงๆ ในใจผมตะโกนว่า “มึงต้องเปลี่ยนวิธีคิด”
.
“วาสนา แปลว่าอะไรพี่?” ผมเลิกคิ้วถาม “พี่บอกว่าคนเรามีวาสนาไม่เหมือนกัน พี่รู้คำแปลของมันมั้ย?”
“ก็ ... บุญไง บุญบารมี วาสนาบารมี สิ่งที่สร้างตั้งแต่ชาติก่อน” พี่เขาตอบกลับ
“ถูกครึ่งนึง” ผมสวนกลับให้เข้าใจง่ายๆ “วาสนา แปลว่า สั่งสม”
“แต่ไม่เกี่ยวกับชาติก่อน มันเป็นเรื่องของชาตินี้ล้วนๆ”
ผมพูดต่อ
“คนเป็นหมอ เรียนหมอชาติก่อนป่ะพี่ ... ไม่รู้”
“คนเป็นตำรวจ เรียนตำรวจมาตั้งแต่ชาติก่อนป่ะพี่ ... ไม่รู้”
“เหมือนกัน ... คนจะประสบความสำเร็จ มันสำเร็จมาตั้งแต่ชาติก่อนป่ะพี่?”
.
ผมตั้งคำถาม
“แล้วโชคอ่ะ แปลว่าอะไร?”
พี่เขาตอบ “ก็โชคดีไง ทำอะไรถูกจังหวะ”
“อ่ะงั้น" ผมพยักหน้าทีนึง "ถ้าตลาดหลักทรัพย์โทรมาตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลย บอกให้ผมสอนคนเล่นหุ้น แบบนี้ ผมโชคดีมั้ย?”
“แน่นอน”
“แล้วผมสอนได้มั้ย?”
“สอนได้ดิ เบนซ์เก่ง”
“เก่งพี่ แต่เก่งเรื่องอื่น เรื่องหุ้นนี่หมาไม่แดกมาก เล่นแสนหมดแสน”
พี่เขาเบ้ปาก “งั้นก็คงสอนไม่ได้”
ผมเถียง “อ้าวแต่ผมมีโชคนะ ตลาดหลักทรัพย์โทรมาเลยนะ”
พี่เขาย้ำ “แต่เบนซ์ไม่พร้อม”
ผมสวน “แล้วแบบนี้เรียกโชคดีมั้ยพี่?”
.
เราทั้งสอง ปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมันอย่างถูกจังหวะ
.
ผมถามต่อ “กลับกันนะ ... ถ้าตอนนี้ผมเก่งหุ้นมากเลย แต่แม่งไม่มีใครติดต่อให้ไปสอนเลย แบบนี้ผมมีโชคมั้ย?”
“ก็ … ถือว่ายังไม่มี”
ผมถาม “ถ้าเป็นพี่ พี่ทำไง?”
พี่เขาทำหน้าครุ่นคิด ผมบอกเขาว่าไม่ต้องตอบเอาใจ
ตอบมาตามความเป็นจริง
เอาตามที่คิด
“ถ้าไม่มีใครติดต่อมา ก็น่าจะเป็นเพราะ เขาไม่รู้จักเรา ไม่แน่ใจว่าเก่งพอมั้ย
เราต้องทำให้คนรู้จัก และก็ต้องรู้ว่าเราเก่งพอจะสอนเขาได้
ถ้าเป็นพี่ พี่ก็จะเขียนหนังสือ ทำ youtube ทำเพจ จัดสัมมนา อะไรไป”
ผมพยักหน้า
“โอเค ถ้าพี่ทำแบบนั้นทั้งหมด คิดว่าจะมีใครมาเรียนกับพี่มั้ย”
พอเขาตอบกลับ
“มันต้องมีบ้างแหละ แต่ก็ต้องทำให้มันน่าเชื่อถือ ทำให้มันน่าสนใจ แบบที่เบนซ์ทำ”
“เห็นยังพี่?”
“เห็นอะไร?”
“โชค กับ วาสนา มันสร้างได้”
ไม่รู้ว่าพี่เขาเงียบเพราะอะไร หวังว่าคงจะเป็นเพราะมีอะไรบางอย่างสว่างวาบในความคิด
.
“ผมไม่ได้โชคดี ผมไม่ได้มีวาสนา” ผมขยี้ต่อ
 
“เอาตรงๆ มั้ย ตั้งแต่เด็ก ดูดวงกี่ที่ก็บอกว่าวาสนาผมจะได้เป็นนายพล
นายพลห่าไรพี่ ตอนนี้เป็นคนธรรมดาแล้ว
ยศก็สตาฟไว้แค่ร้อยเอก ให้กลับไปรับราชการอีกก็ไม่กลับแล้ว
ไหนอ่ะนายพล?”
พี่เขาเงียบ
“มันเป็นเรื่องของการตัดสินใจลงมือทำอะไรบางอย่างกับชีวิตล้วนๆ พี่”
.
“เบนซ์กำลังจะบอกว่า ที่ทำธุรกิจรุ่งๆ นี่ไม่มีคำว่า ดวง เลย?”
“ดวง แปลว่าอะไรล่ะ? พี่เปิด google เลย”
พี่เขาไม่เปิด ภาษากายของพี่เขาบอกว่า มึงบอกมาเลยดีกว่า
“ดวง มันเป็นลักษณนาม เอาไว้เรียก สิ่งต่างๆ ที่มีลักษณะกลมๆ
ถ้าพี่หมายถึง ดวงชะตา , ชะตา มีรากศัพท์เดียวกันกับคำว่า ชาตะ แปลว่า เกิด
ถ้าพี่หมายถึง ดวงจิต , จิต แปลว่า ความนึกคิด ถ้าพี่จะแปลจิตว่า ใจ มันก็หมายถึง ใจในส่วนที่เป็นนามธรรม
ถ้าใจที่เป็นก้อนหัวใจจับต้องได้ บาลีใช้คำว่า หทัย ซึ่งไม่เหมือนกัน”
“ไม่ว่าจะมุมไหน ดวง ก็คือสิ่งที่เกิดจากตัวเราเองทั้งนั้น”
.
“แบบนี้เบนซ์ก็ไม่เชื่อเรื่องดวงสิ”
“เชื่อ ... ถ้าดวงหมายถึงสถานที่เกิด เวลาเกิด ...
เราเกิดที่ไหน นั่นคือสิ่งที่แวดล้อม
เราเกิดเวลาไหน นั่นคืออารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของคนในสิ่งแวดล้อมที่เราอยู่
แต่ละฤดู อากาศไม่เหมือนกัน อารมณ์คนก็ไม่เหมือนกัน
เราเป็นทารกในช่วงที่คนรอบตัวอารมณ์เป็นแบบไหน เราก็ได้รับการปฏิบัติจากผู้คนรอบตัวแตกต่างกัน
นี่ยังไม่นับว่าเป็นตอนเช้า กลางวัน เย็น ค่ำ
เราไปเกิดช่วงเช้าที่คนส่วนใหญ่ตื่นอยู่ อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของคนรอบข้างก็อย่างนึง
เกิดช่วงเย็นตอนคนเหนื่อยๆ อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของคนรอบข้างก็อย่างนึง
ทะลึ่งไปเกิดตีสองตอนคนเขาหลับๆ กัน อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของคนรอบข้างก็เป็นอีกอย่างนึง”
ต่อเมื่อเรารู้ตัวเมื่อไหร่ว่า เอ้อเฮ้ย ... กูดวงไม่ดี
เกิดมาพ่อแม่ญาติมิตรก็ยากจน
สั่งสอนกูมาแบบสอนได้เท่าที่เขาเคยเห็น
สถานที่ที่กูเกิดก็ห่างไกลข้อมูลข่าวสาร
เพื่อนที่กูคบก็หาความเจริญยาก
แล้วคิดจะเปลี่ยนแปลงดวงอย่างจริงจังเมื่อไหร่
นั่นแหละ ... ดวงในแบบที่ผมเชื่อ”
ผมขอสรุปย่อหน้านี้แบบเชยๆ ว่า เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้
.
“หนังสือเล่มนี้อ่ะ” ผมหยิบ Scientific Advertising ขึ้นมาอีกครั้ง “คู่มือเปลี่ยนดวงของพี่”
ผมจิ้มหน้าปก
“พี่ไปอ่านอีกรอบ แล้วหยิบออกมาหนึ่งไอเดีย เอาไปลงมือทำจริงๆ จังๆ”
พี่เขาพยักหน้า
“ถ้าร้านพี่ไม่ดีขึ้น พี่เอาหนังสือมา เดี๋ยวผมซื้อคืนเอง ในฐานะที่เป็นคนแนะนำให้เสียตังค์”
“ทำไมเบนซ์มั่นใจนักวะ”
“ไม่ได้มั่นใจหรอกพี่ แต่ผมเชื่อว่าคนอย่างพี่แม่ง ‘จริง’ พอ
ถ้าพี่อ่านแล้วเอาไปลงมือทำจริงๆ
ผมไม่สงสัยเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
พี่เขายิ้มแห้งแต่แฝงคำว่า “เออ ลองดูซักตั้งวะ” เอาไว้
เรานั่งคุยกันต่ออีกไม่นาน
ก่อนที่พี่เขาจะรับโทรศัพท์ ลุกออกไป
และก็ไม่กลับมาอีกเลย
.
ผมไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเป็นยังไง
ได้แต่เอาใจช่วยว่าพี่เขาจะไม่ทำให้ตัวเองผิดหวัง
แล้วคุณล่ะ?
อ่านบทความนี้แล้ว เห็นอะไรบ้าง?
เห็นตัวเอง หรือ เห็นคนรอบข้างมากกว่ากัน?
จะตัดสินใจ unfriend ตอนนี้เลยหรือไม่
หากผมจะบอกว่า ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ จริงๆ แล้วเป็นแค่เกริ่น
และ 20 บรรทัดแรกที่บอกไว้ว่าคือเกริ่น
แท้จริงแล้วมันคือ เกริ่นของเกริ่นอีกที
เพราะหลังจากนี้คือของจริง ...
.
ของจริงที่ว่าคืออะไร?
ผมเชื่อว่า
คนที่อ่านมาถึงตรงนี้ทุกคน ต่างมีหนังสือดี (หรืออย่างน้อยก็เชื่อแบบนั้น) เป็นของตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นเล่มที่เราเคยอ่านแล้วว้าว
เล่นที่เราเคยอ่านแล้วรู้สึกอยากลงมือทำตามซะเดี๋ยวนั้น
แต่ยังติด “ห่า” อะไรบางอย่างอยู่
และไม่ได้ลงมือลองทำตาม
ทำให้ผลลัพธ์ดีๆ ที่ควรจะเกิดขึ้นกับชีวิต มีอันไม่ได้ผุดได้เกิดซักที
.
หลังอ่านบทความนี้จบ
ผมอยากชวนให้คุณลองทำแบบที่ผมแนะนำพี่คนนี้ไป
ผมไม่ได้ชวนให้คุณอ่านหนังสือ
แต่ผมชวนให้คุณทดลองลงมือทำในสิ่งที่คุณเจอในหนังสือ
แต่ครั้งนี้ ไม่ใช่แบบเล่นๆ เลียๆ เหมือนที่คุณเคยทำ
ตัดสินใจใหม่
จง “ลงมือทำอย่างเข้มข้น”
.
ตลอดชีวิตการสอนของผม
ผมไม่เคยแนะนำให้ใครทำในสิ่งที่ผมเองก็ยังไม่เคยทำสำเร็จ
หากคำขวัญนี้คือคุณค่าหลักในการสอนของผม
“เพียงไอเดียเดียว”
ก็คือคำแนะนำที่ผมอยากชวนให้ทุกคนทำหลังจากจบบทความนี้
.
กล่าวโดยสรุป
นี่คือการทำน้อยๆ เพื่อหวังผล
ไม่ใช่ทำอย่างถึกๆ ทนๆ เพื่อย่ำอยู่กับที่
หยุดขวนขวายทุกอย่างที่คนอื่นบอกว่าดี
หยุดอ่านหนังสือร้อยเล่ม
หยุดเข้าเรียนพันที่
เพื่อจะพบว่าตัวกูนี้
ยังไม่เคยลงมือทำห่าอะไรเลย
.
เจ็บ ... แต่ต้องจบ
เข้าใจ?
.
.
#ผู้กองเบนซ์
======================================
โฆษณา