20 ส.ค. 2019 เวลา 05:11 • ไลฟ์สไตล์
เย็นวันพุธ
วันนี้ไปเที่ยวสเปนกันสักหน่อยค่ะ
หลังจากเช็คอินโรงแรม Pulitzer ในเมืองบาร์เซโลน่า ตั้งอยู่บนทำเลยุทธศาสตร์ ☺️ คือออกจากโรงแรมไปทางขวาและขวาแรกเข้าถนนมุ่งสู่ La Rambla ถนนคนเดิน Pedestrian Market ที่เปิดถึง 6โมงเย็น
หรือตรงไปผ่านจตุรัส ตรงข้ามคือห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และสถานีรถไฟใต้ดิน เลี้ยวซ้ายเป็นถนนช้อปปิ้ง และ Casa Batllo (อ่านว่า คาซ่า บั้ด-โย้ L2 ตัวติดกันอ่านเป็น ย.ยักษ์) หนึ่งในผลงานชิ้นโบว์แดงของ Antoni Gaudi
Casa Batllo
ที่ La Rambla เดินจนเกือบปลายทาง ขวามือคือตลาด St.Josep La Boqueria เป็นตลาดกึ่ง outdoor ซุ้มขายอาหารแบ่งเป็นล้อคๆ บางร้านตกแต่งสวยงาม ขาหมูแขวนเรียงราย และอาหารอื่นๆ เช่นมะกอก ถั่วต่างๆ ผลไม้สด ผลไม้แห้ง อาหารปรุงสำเร็จ tapas Everything Jingle Bell 🔔 ละลานตา บริเวณรอบๆเป็นร้านอาหารสามารถเลือกนั่งในร้านหรือโต๊ะสูงที่จัดวางไว้หน้าร้าน
เราซื้อแฮมกินเล่น แต่หลังจากกินแฮมหมูดำ Jamón Ibérico (อ่านว่า คะ-มอน ไอเบอริโก้) ที่จังหวัด Salamanca ซึ่งนอกจากเป็นจังหวัดที่มีมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกแล้วในเมืองมีร้านขายแฮมเต็มไปหมด ทำให้สงสัยว่าถ้าจะซื้อแฮม น่าจะต้องที่นี่!!
Bingo !! Salamanca ยังเป็นแหล่งที่มาของแฮมหมูดำอีกด้วย ซึ่ง Jamón และโดยเฉพาะ Jamón Ibérico เริ่มต้นที่เมือง Guijuelo ไม่ว่าหมูจะเลี้ยงที่จังหวัดไหน Salamanca หรือ Extremadura หรือ Cordova หรือ Huelva หรือ Seville และ/หรือ Castile La Mancha ล้วนจะต้องบ่ม curing ที่เมืองนี้เท่านั้น
Jamón Ibérico
เราเลยเลือกกิน Jamón Serrano ที่ตลาด St.Josep ซึ่งสีและรสชาติใกล้เคียงกับ Prosciutto ของ Italy
ย้อนไป 5ปีที่แล้ว ผู้เขียนได้ไปเที่ยว บรัสเซล ที่นั่นไม่พูดภาษาอังกฤษ และด้วยความที่ไปเที่ยวคนเดียวเลยซื้อแฮมกับชีสทานในห้องพักโรงแรม โอ้ว! แฮมของที่ไหนนี่? อร่อยจังเลย เนื้อนุ่ม หอม รสชาติกลมกล่อม ในเวลานั้นรู้จักแต่ พาม่าแฮม โปรชุตโต้ ของอิตาลี ไม่รู้จักหรอกคะมอน 🤣 พลิกดูป้ายสินค้า เอ๊ะ! แฮมของสเปน ไม่เคยรู้เลยว่ามีและอร่อยด้วย และจำติดใจมาตั้งแต่วันนั้น
การเดินทางคือ ประสบการณ์ คือความทรงจำ เงินไม่สามารถซื้อเวลาและซื้อความทรงจำในอดีต และยิ่งอายุมากขึ้น หลายคนเริ่มตระหนักแล้วว่าต้องรีบเดินทางในขณะที่ยัง enjoy อาหารการกินได้ เดินเหินได้สะดวก มิเช่นนั้นอาจจะต้องเสียดายเพราะตายก่อนเงินหมด 🥴
Experience คือสิ่งที่ผู้เขียนและเชื่อว่านักเดินทางทุกคนเก็บเกี่ยวจากทุกทริป ไม่ว่าจะอาหาร การกิน กิจกรรมโลดโผนโจนทะยาน จิบไวน์ ชมแสงเหนือ สักการะเทพเจ้า ดูละครบรอดเวย์ ดูงาน ประชุม สัมมนา Everything Jingle Bell 🔔
มื้อเย็นวันนั้นพวกเราเดินตระเวนหา Experience 😁 ว่าด้วยการกิน 🥴
ดูเมนูร้านนั้นร้านนี้มาลงเอยที่ counter ขายหอยนางรม ชื่อ Amélie หน้า supermarket ของห้าง El Corte Ingles
Bar สีขาว ม้านั่งรอบ กระจกกั้นสูงจาก counter top ประมาณ 2คืบ
หลังกระจกใสหน้าที่เรานั่งคือกระบะหอยนางรมมี size 1 2 และ 3 น้ำแข็งสีขาวขุ่นที่ใช้เหมือนแซะมาจากน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือ 🤣 ผู้เขียนก็ไม่เคยไปนะคะ ที่ว่าแซะเพราะมันเป็นแผ่นบางๆ
เค้ามีชุด set 3 ตัวและ แชมเปญ 1 แก้ว ราคาตามขนาดของหอย ขนาดเล็ก €15 ขนาดใหญ่ €20เราสองคนไม่ดื่มแชมเปญ เค้าให้เป็น 4ตัว พนักงานบอกว่าตัวเล็กรสชาติเข้มข้น ตัวใหญ่ได้เนื้อเยอะ เอ้อ! จะเอาเนื้อหรือจะเอารสชาติ? ตัวเล็กถูกกว่า ไม่เห็นจะคิดยากเลย ☺️ เอาทุก size เลยค่ะ 🤣🤣🤣
พวกเราสั่ง 12 ตัว!!! ผู้เขียนขอให้เสริฟทีละ 2ตัว จะได้รู้ว่าชอบตัวไหนแล้วเราค่อย repeat ขนาดที่ชอบ ☺️ เริ่มต้นด้วยหอยนางรมทานเปล่าๆ อื้มมมม รสชาติหวาน และสด จากนั้นก็ตามด้วย creation ของเชฟ เริ่มด้วย ceviche (อ่านว่า เซ-วิ-เช่) เชฟประดิษฐ์ประดอยปรุงรสและตกแต่งออกมาอย่างน่าทาน คือจ่ายเพิ่ม €5 คุยกันก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องซะด้วยสิ 😅 และเชฟอีกคนก็นำเสนอสิ่งที่เค้าอยากทำให้กิน “ได้ เธออยากทำอะไรให้เราลอง ว่ามาเลย” ☺️ คุยกับสามีว่าเดี๋ยวค่อยกินแบบไม่ปรุงละกัน 😅 ถ้าจ่ายตัวละ €5 มีหวังงานนี้จะต้องแสนสลดเงินหมดก่อนตาย 😂🤣
Ceviche
“เธอชอบกินเผ็ดไหม? เดี๋ยวจะทำอีก creation ให้” ทานไป พักไป ค่อยๆดื่มด่ำรสชาติ และบรรยากาศชิลๆ ไม่เร่งรีบ ทานเสร็จ เชฟก็ถามต่อว่าชอบรสชาตินี้ไหม รสชาตินั้นไหม” และเราก็ลุย creation จนจบ!! 😂
Creations
มื้อเย็นวันถัดไป สามีถามว่าอยากกินอะไร 😊🙃 ผู้เขียนแค่ยิ้ม 😁 สามีก็รู้แล้วว่าอยากกินหอยนางรมอีก
เก้าอี้เดิมยังไม่มีใครนั่ง ☺️ วันนั้นลูกค้าเยอะกว่า คงเพราะเป็นเวลาหลังเลิกงานพอดีๆ ขวามือถัดจากผู้เขียนเป็นผู้ชายร่างเล็กเขียนหนังสือไปกินอาหารไป พนักงานดูรน เกร็ง วางขนมปังให้ลูกค้าคนนั้นหล่นแล้วหล่นอีก แก้วก็หล่น Everything Jingle Bell 🔔
เราสั่งหอย และ King Crab ตามลูกค้าคนนั้น เค้ายิ้มมุมปากคงคิดในใจว่า “มีคนกินตามฉันด้วย” ปูหมด...เราก็นั่งรอเชฟว่าจะมาถามว่าจะกินอะไรต่อดี
ระหว่างรออาหาร ตาผู้เขียนก็ถูกสะกดไปยังผู้หญิงวัย 50กว่าๆ-60 นั่งอีกมุมของ counter หรือ 11นาฬิกาของผู้เขียน ในตาเจ้าชู้ มีเสน่ห์ อมยิ้มอยู่ตลอดเวลา ใส่เสื้อคอลึกลายเสือสีน้ำตาลเข้ากับสีผิวและสีผม
เม็ดใสๆสีเหลืองทำจากน้ำมะนาวสกัด
กลุ่มลูกค้าวันนี้แตกต่างจากเมื่อวานวันนี้เป็นคนท้องถิ่น หรือมันคือสาเหตุของบรรยากาศกดดัน พนักงานขยันทำงานไม่หยุดมือ แต่ทำแบบขาดๆเกินๆ 😂 เช่นตักน้ำแข็งใส่กระบะและจัดหอย ในขณะที่ลูกค้านั่งรอเสริฟจานต่อไปอยู่ 😂
พอชายคนนั้นลุกไป เท่านั้นแหละ! ถึงมาถึงบางอ้อ ว่าเค้าคือเจ้าของบริษัท เจ้าของร้านที่มีสาขาทั่วประเทศ
บรรยากาศเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเราถามว่าชายคนนั้นเป็นใคร “เค้าเป็นเจ้านายที่ห่วยที่สุด” เชฟบอก อีกคนสมทบ “แย่ที่สุด” 🥴🥴และออกท่าทางเป็นการระเบิดความอึดอัดและหันกลับมา create หอยนางรมที่แสนอร่อยให้เราสองคนทานกันต่อ 😅 เป็นหอยนางรมรมควันมีรสเผ็ดหน่อยๆ ต้องยกนิ้วให้เลย
จากนั้นก็คุยกันเองเสียงดังโหวกเหวกเจี๊ยวใหญ่ ... เอ้ย! เจี๊ยวจ๊าวใหญ่ 🥴😅ชนิดเก็บอาการไม่อยู่
โอ๊ะโอ! พอมีจังหวะพวกเรารีบบอกให้เค้ารู้ว่า เจ้านายเค้ายังไม่ได้ไปไหน!!! ยังยืนอยู่ไกลๆโน้น 😱😱
นี่เป็นเพราะ value ของบริษัทไม่ชัดเจนหรือไม่?
เมื่อลูกน้องเข้าใจ value ของบริษัทเป็นอย่างดี ต้องให้แน่ใจว่าเค้าเข้าใจว่าเค้าควรปฏิบัติงานและปฏิบัติตัวอย่างไรที่สอดคล้องกับ value บริษัทด้วย
กรณีร้าน Amélie Value ของบริษัทอาจจะเป็นexperience ของลูกค้าเรื่องความสด ความ premium ของวัตถุดิบและเครื่องปรุง ความเป็น fine dining การตกแต่งอาหาร ที่เสริฟพร้อมขนมปังชิ้นเล็กที่เป็น organic ความสะอาด สดใส มีระดับของสถานที่ บริการ และบุคลากร ความเป็นมืออาชีพ ทำหน้าที่ได้ครบถ้วน เป็นหน้าเป็นตาให้บริษัท
หรือเป็นเพราะ value ของบริษัทไม่ตรงกับการบริหาร ? ความ premium ของร้าน ย่อมมาคู่กับบุคลากรที่มีฝีมือ เป็นมืออาชีพ การบริหารต้องเป็น two way communication ผู้บริหารจากที่จะเป็นผู้สั่งการ ก็ต้องมีบทบาทเป็นผู้อำนวยการ facilitator มากขึ้น และต้องเลือกพนักงานทั้งที่มีฝีมือบุคลิกภาพที่ดี และมีมุมมองที่ดี Everything Jingle Bell 🔔
ผู้เขียนขอยกนิทานอีสปไว้เตือนสติเจ้านาย ในฐานะที่เป็นเจ้านายด้วยกัน ☺️
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! ว่ายน้ำไม่เป็นช่วยหนูด้วย” เสียงเด็กน้อยที่พลัดตกลงน้ำร้องตะโกนให้ช่วย ขณะนั้นมีผู้ใหญ่คนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี เมื่อได้ยินเสียงร้องของเด็กจึงไปที่ริมฝั่งแม่น้ำ แล้วอบรมสั่งสอนว่า “หนูช่างซุกซนเหลือเกินนะ ถ้ารู้ตัวว่าว่ายน้ำไม่เป็นแล้วมาเล่น ริมน้ำทำไม ไม่คิดหรือว่าถ้าตกลงไปใครจะมาช่วย” เด็กน้อยพยายามตะโกนตอบไปว่า “คุณน้าจ๋า ช่วยหนูขึ้นไปก่อน แล้วค่อยอบรมได้หรือไม่”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ช่วยแก้ปัญหาให้เขาได้เสียก่อนแล้วค่อยสั่งสอนเขา ดีกว่าสั่งสอนหรือซ้ำเติมคนที่กำลังประสบปัญหา
ถึงแม้ในใจอยากจะตำหนิเสียเต็มปะดา
แต่มันช่างเปล่าประโยชน์ เพราะวันหน้าเมื่อเค้าทำอะไรผิดก็จะปกปิด ไม่กล้าบอก 😉
โฆษณา