22 ส.ค. 2019 เวลา 05:02 • ธุรกิจ
เข้าใจ Gen ใหม่ เปิดใจ Gen เก่า กับ Your Money or Your Life เงินหรือชีวิต
จียานทำธุรกิจร่วมกับแฟนของเธอ วันหนึ่งพ่อแม่ของจียานเรียกเธอให้ไปรับมอบธุรกิจร้านข้าวมันไก่จากพ่อแม่ ด้วยความที่เธออยากเห็นพ่อแม่สบาย เธอเลยตกปากรับคำ
เธอเริ่มต้นภารกิจเป็นเจ้าของร้านข้าวมันไก่ จียอนต้องบริหารคน ดูสต็อกวัตถุดิบ เทคเเคร์ลูกน้อง และเฝ้าร้านเพื่อคอยแก้ไขปัญหาสารพัด หากวันไหนไม่อยู่ร้าน พ่อกับแม่ของเธอจะหงุดหงิดและโมโห ฉันสร้างธุรกิจเพื่อให้เธอมีงานทำนะ ทำไมไม่ทำงาน เธอเลยจำใจอดทนทำงานทั้งๆที่ตัวเองไม่ชอบ เธอต้องทำงานหนัก ไม่มีความสุข ชีวิตเหมือนคุมขัง ไม่มีวันหยุด เธอต้องห่างจากคนรัก ไปช่วยงานแฟนก็ไม่ได้ เธอเกลียดงานของเธอ แต่ถึงกระนั้น เธอก็ต้องอดทนทำ แต่ก็อดทนทำได้ไม่นาน
ด้วยความที่จียานเป็นคนรุ่นใหม่ เป็นชนกลุ่มยุคมิเลนเนี่ยนที่เกิดมาในยุคเทคโนโลยี เธอเลยพยายามหาทางออกที่ดีที่สุด เธอคิดหาหนทางสารพัดเพื่อหาผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และในที่สุด เธอก็พบคำตอบที่จะทำให้เธอมีรายได้และมีอิสรภาพ หลุดพ้นจากงานที่เธอไม่อยากทำแล้วกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม
จียานตัดสินใจเลิกธุรกิจข้าวมันไก่ หยุดธุรกิจที่พ่อแม่ทำมานานแสนนาน และปล่อยให้คนอื่นมาเช่าร้านของเธอต่อ จียอนได้ความสุขความสบายใจและอิสรภาพมาแทนที่ ถึงแม้รายได้จะหดลง แต่เธอกลับค้นพบความสุขความสงบเหมือนก่อนที่เธอจะมารับกิจการจากพ่อแม่ ในขณะที่เธอกำลังเสพสุขจากความสงบที่ได้หลุดพ้นจากงานที่เธอทำเร่งวันตาย พ่อกับแม่ของเธอกลับกลายเป็นฝ่ายที่ทนทุกข์ทรมานแทน
เธอถูกพ่อแม่ด่าทอกระจายสารพัด โทษฐานเป็นลูกอกตัญญูที่ทำลายธุรกิจที่รุ่นพ่อรุ่นแม่สร้างมา พ่อแม่ทนได้ตั้งหลายปี ทำไมลูกถึงทนไม่ได้ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ หนีปัญหา โง่ แล้วอย่างนี้จะมีชีวิตที่สุขสบายได้ยังไง เพื่อนพ่อเพื่อนแม่จะมองครอบครัวเรายังไง ในขณะที่จียานตั้งคำถามว่า จะต้องทนทำเองให้เหนื่อยทำไม จะต้องทนทำงานที่ตัวเองไม่ชอบไปเพื่ออะไร เปิดโอกาสให้คนอื่นมาทำแล้วนั่งรอเงินอย่างเดียว มีรายได้พร้อมๆกับเวลาว่างเพื่อไปทำงานที่สร้างเงินสร้างเงินสร้างความสุขให้เราไม่ดีกว่าหรือ…???
แน่นอน วิธีคิดของคน Gen เก่ากับ Gen ใหม่ไม่เหมือนกันตรงนี้ คน Gen เก่าให้ความสำคัญกับสิ่งที่จับต้องได้ แต่คน Gen ใหม่ให้ความสำคัญกับอิสรภาพมากกว่าสิ่งใด คน Gen เก่าเน้นทำงานหนักเพื่อให้ได้เงิน คน Gen ใหม่เน้นทำงานหนักเพื่อให้ได้เวลา เพราะในโลกยุคที่การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วขนาดนี้ เวลาเป็นทรัพยากรที่มีมูลค่าสูงที่สุดที่ในชีวิตคนหนึ่งคนจะมี และด้วยเหตุนี้ ผมเลยอยากจะทำเรื่อง เข้าใจ Gen ใหม่ เปิดใจ Gen เก่า กับ Your Money or Your Life เงินหรือชีวิต
ทุกวันนี้คุณทำงานเพื่อเติมเต็มชีวิต หรือทุ่มเทพลังชีวิตลงไปแล้วกลายเป็นคนหมดแรงหมดพลัง คุณรักงานที่คุณทำ หรือพยายามอดทนรอวันเสาร์-อาทิตย์เพื่อคลายเครียดแล้ววนกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม ทุกวันนี้คุณคิดว่าเงินใช้ซื้อความสุขได้มั้ย แน่นอน ผมคิดว่าคุณคงเชื่อแล้วว่าได้ แต่ตลอดระยะเวลาที่คุณทำงานใช้เงินซื้อความสุข แล้วปัจจุบันนี้ คุณมีความสุขอยู่หรือเปล่า…??? หลักฐานความสำเร็จในอดีตมักอยู่ในรูปแบบของอนุเสาวรีย์ การทำงานในยุคนี้ เงินเก็บคืออนุเสาวรีย์ของชีวิตเหมือนกัน คุณมีมันมั้ย…??? นี่คือคำถามที่ โจ โดมิงเกซ และวิคกี้ โรบิน ได้เขียนเอาไว้ในหนังสือ Your Money or Your Life หรือแปลเป็นไทยว่า เงินหรือชีวิต และชนกลุ่มมิลเลนเนี่ยนรุ่นใหม่ในต่างประเทศล้วนพูดถึงหนังสือเล่มนี้กันทั้งนั้น ซึ่งผมคุ้นๆชื่อหนังสือเลยไปคุ้นกองหนังสือของตัวเอง อ้าว ผมเคยซื้อจากร้านหนังสือมือสองแล้วเก็บเอาไว้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว
นี่ผมมีหนังสือระดับพระกาฬอยู่ในมือโดยไม่รู้ตัว…!!!
ในหนังสือได้อธิบายถึง 9 ขั้นตอนที่จะเปลี่ยนให้คุณกลายเป็นคนที่มีพลังในการใช้ชีวิตจริง แต่ผมขอยกมาแค่ 3 ข้อ และที่เหลือคุณไปอ่านในหนังสือเอาเองนะครับ
หนังสือเล่มนี้จะพูดถึงหลักการ ถ้าวันนี้คุณไม่ชอบงานของตัวเอง รู้มั้ย คุณสามารถทำงานเพียงแค่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วไม่ต้องทำงานที่คุณไม่ชอบอีกเลยก็ยังได้ โดยสูตรที่หนังสือเล่มนี้ใช้คือ เพิ่มพูนรายได้ให้สูงที่สุด เลือกทำงานที่คุณได้ใช้ศักยภาพของตัวเองให้สูงที่สุด เน้นประหยัดให้ได้มากที่สุด หยุดใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย เห็นคุณค่าของทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณซื้อ และเน้นการสะสมทรัพย์สินเพื่อให้เราสามารถมีรายได้ได้โดยไม่ต้องทำงานตลอดเวลา ซึ่งทำให้ผมคิดถึงคำสอนของ Money Coach ที่เป็นสุดยอดแรงบันดาลใจทางการเงินให้กับคนไทยมากมาย รวมทั้งผมด้วย
โดยในช่วงแรกเมื่อคุณเริ่มต้นทำงาน คุณจะมีกราฟ 2 เส้นในชีวิต นั่นก็คือกราฟรายได้และกราฟรายจ่าย ยิ่งช่องว่างของกราฟยิ่งห่างกันเท่าไหร่ยิ่งดี ซึ่งคุณจะต้องหยุดการใช้เงินอย่างไร้ความรับผิดชอบ และเริ่มต้นตั้งเป้าหมายชีวิตอย่างชัดเจน โดยเป้าหมายที่หนังสืออยากให้คุณต้องตั้งเอาไว้คือ “ทำงานเพียงชั่วระยะเดียวเท่านั้น” ซึ่งอาจจะเป็น 5 ปี 10 ปี หรือ 15 ปี ก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละคน
เมื่อคุณมีกราฟเส้นรายได้และรายจ่าย เมื่อคุณตัดเอาเงินไปออมจนมีเงินก้อนสำหรับใช้ชีวิตแบบสบายๆ 6 เดือนหากขาดรายได้แล้ว คุณก็เอาเงินที่เหลือไปลงทุน ซึ่งการลงทุนที่ในหนังสือได้ให้เป็นแนวทางเอาไว้คือการลงทุนที่มีความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายต่ำมากๆ นั่นคือพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งผมขอเอาข้อมูลในหนังสือมาทำข้อมูลเลยนะครับ
ในประเทศไทย ปีล่าสุดผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล มี 2 แบบให้เลือก คือ
รุ่นอายุ 3 ปี 1 เดือน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.46 ต่อปี
รุ่นอายุ 7 ปี 1 เดือน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.00 ต่อปี
โดยเมื่อคุณลงทุก คุณก็ใช้สูตร
เงิน 100,000 บาท คุณด้วย ผลตอบแทนเป็นเปอร์เซ็น และหาร 12 นั่นคือรายได้ของคุณ
สมมุติว่าคุณลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยรุ่นอาย 7 ปี 1,000,000 บาท เท่ากับคุณจะมีรายได้ (1,000,000 x 3%) / 12 = 2,500 บาทต่อเดือน ซึ่งคุณต้องถูกหักภาษี 15% ด้วย แต่ช่างมันก่อนแล้วกัน
ดังนั้นคุณจะมีรายได้จากทรัพย์สินเดือนละ 2,500 บาทต่อเดือนนั่นเอง
เมื่อคุณเริ่มมีรายได้จากทรัพย์สิน ในตารางรายได้ – รายจ่ายของคุณจะปรากฏกราฟเส้นที่ 3 นั่นคือกราฟรายได้จากทรัพย์สิน ซึ่งในช่วงแรกๆ กราฟทรัพย์สินของคุณจะร้ำเรี่ยติดดินมากๆ แต่เมื่อคุณสะสมไปเรื่อยๆ กราฟทรัพย์สินจะสูงขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อกราฟทรัพย์สินชนกราฟรายจ่ายเมื่อไหร่ เปรี้ยง คุณชนะแล้ว คุณสามารถเลือกทางเลือกของชีวิตตัวเองได้เลย คุณจะทำงานด้วยความรู้สึกยังไงบ้างหละ ถ้าคุณรู้ว่าคุณไม่จำเป็นต้องทำงานตลอดไป ขอเพียงแค่ทุ่มเททำงานเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง ประหยัด ลงทุนในสิ่งที่คุณศึกษาเรื่องความเสี่ยงและความสามารถในการรับมือความเสี่ยงของคุณ คุณจะทำงานด้วยความรู้สึกอย่างไร มันก็ต้องเปี่ยมไปด้วยพลังในการทำงานใช่มั้ยหละ ต่อให้ทำงานที่คุณไม่ได้ชอบก็เถอะ ถ้าทำงานแล้วเข้าใกล้เป้าหมายขึ้นทุกวัน ใครบ้างละจะไม่มีพลัง จริงมั้ย…???
คนรุ่นเก่าจะทุ่มเททุกลมหายใจไปกับการทำงานหาเงิน โดยเชื่อว่าการใช้เวลาทำงานมากเท่าไหร่ยิ่งดี ยิ่งทำงานหนัก 24 ชั่วโมงได้เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม แต่คนกลุ่มมิลเลนเนี่ยนจะมองอีกมุม นั่นคือทำงานให้หนักเพื่อให้มีเวลาว่างไปทำสิ่งที่สำคัญกับชีวิตและมีความสุขจริงๆ
แน่นอน การไปจะถึงจุดเปลี่ยนของชีวิตนั้นมันต้องใช้แรงและพลัง รวมไปถึงความอดทนและวินัยสูงมากๆ และถ้าคุณอยากจะศึกษาแบบละเอียดๆ ผมแนะนำให้ซื้อ เงิน หรือ ชีวิต ที่จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ OpenBook ได้เลยครับ เวอร์ชั่นนี้ผมยังไม่ได้อ่านนะ ผมอ่านเวอร์ชั่นที่พิมพ์โดยมูลนิธิโกมลคีมทอง ที่พิมพ์โดยปี พ.ศ. 2514 ครับ
โฆษณา