24 ส.ค. 2019 เวลา 03:13 • ปรัชญา
มัวแต่หลงในตัวตน ก็เดินวนในกองทุกข์
วันนี้มีข้อคิดดีๆ จากบทสนทนากับคนธรรมดาคนนึงมาฝากค่ะ หลังจากหายเงียบไปหลายวันว่าจะเขียนอะไรดี เพื่อส่งต่อพลังชีวิตคิดบวกให้เพื่อนพ้องที่มีโอกาสได้เข้ามาเยี่ยมและทักทาย
ข้อคิดในเรื่องนี้ธรรมดามาก แต่สิ่งนี้มันกลับมาทำร้ายเรา แบบไม่เคยปราณีทั้งชีวิตที่ผ่านมา ก็ตามที่จั่วหัวข้อข้างบนเลยค่ะ
บังเอิญเรื่องที่ผู้เขียนครุ่นคิดและฝึกฝนกับมันก็สอดคล้องกับบทสนทนานี้ เรื่อง "ตัวตน กับ ทุกข์" ซึ่งสำหรับผู้เขียนแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรู้ตัวว่ามันทำร้ายเรามากขนาดนี้เชียวหรือ
ทำไมจึงเป็นแบบนั้น และมันอาจจะโดนใจบางคนไม่มากก็น้อยที่กำลังหาทางออกว่าจะเดินไปทางไหนดี
เคยมีมั้ยชีวิตที่ผ่านมาเราได้ทำอะไรแล้ว เราภาคภูมิใจกับสิ่งที่ทำนั้น จนมันกลายเป็นอนุเสาวรีย์ในชีวิต สร้างตัวตนของเราให้เราเดินตามเงาที่เราวาดนั้นอยู่เรื่อยมา
เช่น ได้รับการโปรโมทหน้าที่การงานสูงสุด ได้รับปริญญาสูงสุดตามที่เราตั้งใจ ได้บ้านและรถให้พ่อแม่ ได้รับรางวัลในด้านที่เราเชี่ยวชาญ เป็นนักร้องที่มีชื่อเสียง เป็นนักกีฬาที่ได้รับรางวัลที่หนึ่งระดับชาติ เอาเป็นว่าเราได้เป็น "แชมป์"ที่เราตั้งใจ
หรือจะพูดทำนองหนึ่ง คือ หากพูดถึงความโดดเด่นในเรื่องนั้น ทุกคนต้องนึกถึงเรา รู้มั้ยว่า เราได้แบกอนุเสาวรีย์ของเราเองไว้บนบ่าโดยไม่รู้ตัว และได้แบกตัวตนของเราเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างแล้ว
เพราะอะไร ?
ก็เพราะเราแอบชื่นชมกับสิ่งนั้นๆ จนตัวเราต้องวิ่งไล่ตามมันอย่างไม่มีวันเหน็ดเหนื่อย เราแทบไม่มีวันรู้เลยว่าเราได้ทำร้ายตัวเองขนาดไหน และยิ่งไปกว่านั้นเราได้เบียดขับคนรอบข้างเรา ให้ได้รับความเดือดร้อน และเจ็บช้ำใจมากเพียงใดแล้ว
เมื่อชีวิตดำเนินมาถึงวันหนึ่ง สิ่งนี้มันทำให้เรายึดและเกาะไว้แน่นยิ่งกว่ากาวชนิดไหนเสียอีก
ยามที่เราไม่ได้ตามหวัง สิ่งนี้มันกลับมาทำร้ายชีวิตและจิตใจของเรา ทำให้เราคิดว่าทำไมเราไม่ดีพอ ทำไมเราไม่เก่งพอ ทำไมเราไม่ยืนบนจุดนั้นนานพอ แล้วเฝ้าโทษตัวเองว่าทำไมเราจึงไม่พยายามให้มากพอที่จะยืนบนจุดเดิมนั้นได้
ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีวันเกิดขึ้น
จะมีสักกี่คนที่รู้ว่านี่คือ "ความทุกข์" จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าจะจัดการความรู้สึกและความเจ็บปวดรวดร้าวนั้นอย่างไร
จะมีสักกี่คนที่อยู่กับมันอย่างมีความสุขและเข้าใจในธรรมชาติของชีวิตของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์
แต่เชื่อหรือไม่ว่า บทสนทนาที่ผู้เขียนได้ตกผลึกร่วมกับเจ้าของประสบการณ์นี้ ช่างสอดคล้องกับสิ่งที่ผู้เขียนกำลังครุ่นคิดเสียเหลือเกิน
เราต่างเห็นร่วมกันว่า หากถึงจุดหนึ่งเมื่อเวลาที่ความทุกข์โหมกระหน่ำเข้ามาในแบบที่แตกต่างกัน
จะถึงจุดที่ผู้นั้นทนแทบไม่ไหวแล้วต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง บางคนก็เปลี่ยนไปทางลบยอมให้ความทุกข์เข้ามาครอบงำแล้วทำตามสิ่งที่เป็นด้านลบสั่งการแบบไม่รู้ตัว ชีวิตพังทลายไม่เป็นท่า
แต่บางคนกลับดึงจุดเปลี่ยนนี้เป็นโอกาส ส่งพลังชีวิตคิดบวก เห็นการทำงานของจิตใจของตัวเอง มีสติและรู้ทันจิตใจของตัวเอง
รู้ทันยังไง ?
รู้ทันความเป็นจริงของชีวิตและธรรมชาติของสรรพสิ่ง ตัวตนที่เราแบกนี่แหละคือตัวแปรสำคัญฉุดรั้งให้เราวนเวียนอยู่บนกองทุกข์
ถ้าเราหมุนกลับความคิดเสียใหม่ว่า "เราจะเป็นอะไรก็ได้ ขอแค่เรามีค่าสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นก็พอ"
จากสิ่งที่เราคิดและทำเพื่อตัวเอง จะเปลี่ยนมาเป็นทำเพื่อคนอื่นบ้าง ทีละเล็กละน้อย ค่อยๆ ฝึก ก็ยังดี
เมื่อนั้น "ความอ่อนโยน ความเมตตา จะเกิดขึ้นกับเราแทบไม่รู้ตัว" แล้ววันนึงจะมีคนมาบอกเราว่า "ทำไมวันนั้นกับวันนี้ จิตใจเราไม่เหมือนเดิม"
เพราะคนที่เขาอยู่ใกล้เรา เขาจะสัมผัสพลังบวกและพลังความอ่อนโยนจากเรา ใครจะรู้สักวันนึงชุมชนเล็กๆ แห่งความปรารถนาดีจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
เพียงแค่เราหันกลับมามองที่ตัวเราเอง "ค่อยๆ ละวางอนุเสารวีย์แห่งชีวิตของเราลงทีละน้อยๆ" ชีวิตที่โปร่ง โล่ง เบาสบาย อยู่ตรงปลายจมูกของเรานี่เอง
จึงเขียนมาเพื่อเตือนตนเองและแบ่งปัน
รหัสจิต ปริศนาธรรม
โฆษณา