10 ก.ย. 2019 เวลา 08:16 • ความคิดเห็น
...เวลา...
“ไม่มีเวลา” วลียอดฮิตที่ได้ยินบ่อยที่สุดจากคนรอบข้าง เหมือนกับว่าในยุคนี้ใครพูดว่า “ว่าง” ดูจะเป็นเรื่องแปลก
คนเราหาสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายเพื่อ “ประหยัดเวลา” แต่ก็มักจบลงด้วยคำว่า “ไม่มีเวลา” และไม่ค่อยเหลือเวลาแบ่งให้ใคร เพราะกลัวจะ “เสียเวลา”
ถ้าถามว่า “ให้ทานเป็นเงิน” หรือ “ให้เวลากับใครสักคน” อย่างไหนที่ทำยากกว่า ขอเดาว่า คนส่วนใหญ่คงควักเงินทำบุญได้อย่างรวดเร็ว พอๆ กับที่จะปฏิเสธใครสักคนที่ต้องการเวลาจากเราอย่างทันควันเช่นกัน
เมื่อวานนัดกินข้าวกับปัท เพื่อนสาวผู้เชี่ยวโลก Facebook เพจไหนใครดัง เธอรู้เรื่องหมด หลังจากเล่าเรื่องโน้นนี้ใน Facebook จบ เธอก็วกมาเรื่องประจำที่อยากระบาย เรื่องเกี่ยวกับคนไม่ใกล้ไม่ไกลที่มีอะไรให้เล่าได้เป็นวัน ก็ต้องยกให้เรื่องของแม่สามี
“ชั้นนะอยากจะกรี๊ด ทำกับข้าวไว้ให้คนละจาน แม่ท่านทานเรียบแล้วมาต่อจานชั้นอีก” ปัททำเสียงสูง
“เค้าคงติดใจฝีมือเธอหละสิ” เรายอให้ปัทอารมณ์ดี
จบเรื่องโน้น ปัทก็บ่นวีรกรรมเรื่องนี้ต่ออีกเป็นฉากๆ ไม่มีหยุดคั่นโฆษณา และดูเหมือนปัทจะไม่ได้สนใจความเห็นเราเท่าไหร่ด้วย
เรานั่งฟังอยู่จนบ่ายแก่ๆ อยากจะขอตัวกลับ แต่ก็เกรงใจ เห็นเพื่อนยังเล่าติดลมอยู่อย่างเมามันส์ จึงตามใจเพื่อนให้แล้วต่อไปอีกหน่อย
“มีอีกนะเธอ เมื่อคืนชั้นนะยืนล้างจานอยู่ เหนื่อยอยากจะรีบไปพักนั่งอ่าน Facebook แล้ว แม่ท่านก็มายืนเล่าเรื่องลูกชายคนโน้น ลูกสะใภ้คนนี้ไม่หยุดเลย ชั้นไม่ได้อยากจะรู้เลยสักเรื่อง” ปัทบนแกมเบื่อ
เราได้แต่ยิ้มและนึกในใจว่า “ปัทเอ๊ย เธอคงลืมนึกไปว่า แม่สามีเธอก็คงอยู่ในอารมณ์อยากเล่าเรื่องสัพเพเหระให้ใครสักคนฟัง เหมือนกับที่เธอเป็นอยู่ตอนนี้”
คนส่วนใหญ่มักมีเวลารู้เรื่องของคนโน้นคนนี้ในสื่อต่างๆ และระบายอารมณ์และความรู้สึกออกมาผ่านหลายช่องทาง แต่มักไม่สนใจหรือไม่มีเวลาจะรับฟังเรื่องที่คนใกล้ตัวอยากระบาย หรือขอความช่วยเหลือเพราะรู้สึกว่ามัน “เสียเวลา”
ที่หยิบยกเรื่องนี้มาคุย ไม่ได้มีเจตนาจะเสียดสีใครนะคะ แต่เป็นเพราะมันเป็นเรื่องที่น่าชวนกันมาฝึกหัดนิสัยการเสียสละเวลาให้คนรอบตัวบ้าง เพราะเวลาของคนในยุคปัจจุบันล้วนไม่เคยพอ มันจึงเป็นสิ่งที่สละยาก และเรามักรู้สึกว่ามีไม่พอที่จะเจียดให้
แต่ถ้าลองหัดเจียดเวลาเพื่อคนอื่นบ้างจนเป็นนิสัย แทนความเคยชินที่จะตอบว่า “ไม่มีเวลา” สิ่งที่ได้คือนิสัยของคนสละตัวตนที่ยอดเยี่ยม และสำหรับผู้รับแล้ว มันอาจจะยิ่งใหญ่และซาบซึ้งเกินบรรยายก็เป็นได้ค่ะ
สังเกตรอบๆ ตัว ผู้ที่ทำได้เป็นปกติอยู่แล้ว จะมีบุคลิกแบบผู้ที่มีน้ำใจไมตรีและมีลักษณะเห็นแก่ผู้อื่น ผู้คนจึงชอบเข้าใกล้และรู้สึกถึงความเป็นมิตร
คุณค่าของเวลาน่าจะอยู่ที่มันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป นาทีไหนที่ผ่านไปแล้ว ไม่เคยย้อนกลับมาได้อีกเลย ดังนั้นเราควรจะระลึกถึงความสำคัญของ “ปัจจุบันขณะ” อยู่บ่อยๆ อย่าให้ความเพลินหรือความติดในความยุ่งเหยิงใดๆ มากลบเราไปกับสิ่งที่หมกมุ่นอยู่ตรงหน้า จนทั้งชีวิตผ่านไปอย่างน่าเสียดาย.
โฆษณา