14 ก.ย. 2019 เวลา 16:02
The Secret Life of Walter Mitty : ในวันที่ความฝันหล่นหาย
เมื่ออาทิตย์ก่อนผมมีโอกาสได้เข้ากรุงเทพ ในช่วงเวลาประมาณทุ่มเศษๆ ในขณะที่นั่งอยู่ในรถพลางใช้นิ้วไถโทรศัพท์ไปๆมาๆแบบไร้จุดหมาย สายตาเหลือบไปที่ป้ายรถเมลล์
ภาพที่เห็นคือผู้คนที่สภาพอ่อนล้าเต็มที ไม่ว่าจะคุณป้าในชุดแม่บ้าน คนหนุ่มในชุดวิศวกรหรือหญิงสาวในชุดออฟฟิศ.. ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงมีจุดหมายเดียวกันคือพักผ่อน
กลับมาคิดกับตัวเองว่าเราเองก็คงมีท่าทีไม่ต่างอะไรกับคนที่ยืนอยู่ที่ป้ายรถเมลล์เท่าไรหนัก ทั้งกายทั้งใจล้วนต้องการเพาเวอร์แบงค์ขนาดใหญ่สักก้อน
หากจะเนะนำหนังสักเรื่องที่จะสามารถบันดาลใจให้ใครหลายๆคนฉุกคิดหรือเติมไฟให้กับการใช้ชีวิตที่จำเจได้ก็คงหนีไม่พ้น The Secret Life of Walter Mitty หรือชื่อไทย ชีวิตพิศวงของ วอลเตอร์ มิตตี้
เป็นหนังที่ไม่เป็นพูดถึงเท่าไรในปีที่เข้าฉาย หนังที่ว่าด้วยชีวิตของมนุษย์เงินเดือนธรรมดาคนนึงที่ต้องดิ้นรนใช้ชีวิตในเมืองใหญ่
หมายเหตุ : เนื้อหาต่อไปนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของหนัง
วอลเตอร์ มิตตี้ พนักงานที่ทำงานฝ่ายดูแลรูปถ่ายให้กับนิตยสาร Life ที่มีนิสัยชอบเหม่อลอย ฝันกลางวันถึงเรื่องการผจญภัยที่เขาเคยหลงรักสมัยวัยรุ่น
จนกระทั่งนิตยสาร Life เปลี่ยนเจ้าของ โดยการผ่าตัดองค์กรครั้งใหญ่ พนักงงานหลายคนส่อแววจะถูกเชิญออกรวมถึงวอลเตอร์ด้วย
งานสุดท้ายก่อนที่เขาจะกลับกลายเป็นบุคคลว่างงานคือการนำฟิล์มหมายเลข 25 ของช่างภาพขาประจำอย่างฌอน โอคอนเนอร์ มาขึ้นปกฉบับสุดท้าย
ประเด็นของเรื่องคือฟิล์มหมายเลข 25 ที่ควรจะขึ้นปกไปแล้วนั้น ดันหาไม่เจอ เดือดร้อนวอลเตอร์ต้องไปตามหาช่างภาพอย่าง ฌอน โอคอนเนอร์
ในหลายๆครั้งหนังพยามยามสะท้อนให้เห็นว่าวอลเตอร์ โฟกัสกับการเป็นเสาหลักของครอบครัวอย่างมาก บัญชีรายรับรายจ่ายของเขาเต็มไปด้วยรายจ่ายของคนในครอบครัวไล่ตั้งแต่ ค่าย้ายเปียโนของคุณแม่ ค่าคอสเรียนการแสดงของน้องสาว
วอลเตอร์เสียพ่อตั้งแต่อายุ 17 จากเด็กหนุ่มไว้ผมโมฮอก เป็นแชมป์สเก็ตบอร์ดแถวบ้าน แบกเป้เที่ยวตลอดเวลา เขาต้องพับเก็บแผนที่ความฝันเก็บเอาไว่ในลังเก่าๆ ก่อนที่จะขึ้นมาทำหน้าที่เสาหลักของครอบครัวแทนที่พ่อที่จากไป
วอลเตอร์ตัดสินไปตามหาฌอน โอคอนเนอร์ไกลถึงกรีนแลนด์ และก็ดูเหมือนว่าชีวิตจะหยิบยื่นโอกาสให้เข้ากลับไปเป็นเด็กหนุ่มที่รักผจญภัยอีกครั้ง
ในฉากกระโดดขึ้นเฮลิคอปเตอร์สภาพโทรมๆพร้อมนักบินที่สภาพเมาแอ๋ ไม่ต่างอะไรกับการที่วอลเตอร์เลือกที่จะหยิบแผนที่ความฝันที่เก็บไว้มากางออกกว้างๆในวัย 42
จากกรีนแลนด์ดินแดนที่มีประชากรมีไม่ถึง 8 คน ต่อด้วยสู้กับฉลามขาวกลางมหาสมุทร ไปจนถึงหนีภูเขาไฟระเบิดที่ไอซ์แลนด์
แม้ท้ายที่สุดวอลเตอร์จะถูกไล่ออก แต่วอลเตอร์ก็เหมือนได้ทบทวนกับตัวเองอีกครั้งในวัย 42 ว่าที่ผ่านมาชีวิตเขาหมกมุ่นกับการใช้ชีวิตจนหลงลืมไปว่าความฝันของเขาคืออะไรกันแน่
ฟังดูชีวิตของวอลเตอร์อาจจะดูบ้าบอเหมือนนิยายไปหน่อย แต่ผมเชื่อว่ามีหลายคนที่มักจะนั่งเหม่อลอยนึกถึงสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำหรืออยากจะเป็นอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
อาจจะไม่ต้องถึงขั้นลาออก แค่อยากให้ทุกคนลองหาความสุขใส่ตัวเองบ้าง การเติมความสุขด้วยการซื้อสิ่งที่อยากได้มานานมากแล้ว , การไปเที่ยวที่ที่อยากไปแต่ไม่ได้ไปสักที , กินของอร่อยที่อยากกิน
เรื่องของวอลเตอร์ มิตตี้สามารถเตือนสติให้กับเราผู้ชมได้ดีทีเดียว การปล่อยให้กาลเวลาล่วงผ่านชีวิตที่ดูจำเจ อาจจะทำความฝันเราหล่นหายไปโดยไม่รู้ตัว บางทีการบริหารเวลาระหว่างหน้าที่ของการงานกับหน้าที่ของความฝันอาจจะสำคัญอยู่ไม่น้อยอยู่เหมือนกัน..
โฆษณา