20 ก.ย. 2019 เวลา 10:23 • กีฬา
ศึกแย่งชิงนายทวารมือ 1 ในโลกฟุตบอล ครั้งที่ดวลกันอย่างระทึกที่สุด คือการปะทะกันของโอลิเวอร์ คาห์น กับ เยนส์ เลห์มันน์ วิเคราะห์บอลจริงจังจะย้อนอดีตให้ฟัง
ระยะเวลา 8 ปี ระหว่าง 1998-2006 ที่เยอรมัน มีการชิงชัยของ 2 นายทวารฝีมือระดับโลก
ได้แก่โอลิเวอร์ คาห์น กับ เยนส์ เลห์มันน์
ผู้รักษาประตูสองคนนี้ อายุเท่ากัน เกิดปีเดียวกัน มีความเป็นผู้นำทัดเทียมกัน
บุคลิกส่วนตัวก็มีความมั่นใจ และอีโก้สูงลิบด้วยกันทั้งคู่ ทั้งคู่ประกาศชัดเจนมาตลอดว่า พวกเขาไม่ใช่เพื่อนกัน เป็นแค่คนร่วมอาชีพเดียวกันเท่านั้น
สงครามการแย่งชิงนายทวารเบอร์ 1 ทีมชาติเยอรมัน มีเป้าหมายสำคัญที่สุด คือตัวจริงฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมันเป็นเจ้าภาพเอง
ทั้งคาห์น และเลห์มันน์ ที่ไม่เคยได้แชมป์ระดับชาติทั้งคู่ ต่างต้องการลงเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในบ้านตัวเอง ในฐานะตัวจริง
แต่ปัญหาคือ ตำแหน่งผู้รักษาประตู ไม่สามารถส่งสองคนลงพร้อมกันได้
ดังนั้นมันแปลว่า ผู้ชนะในสงครามครั้งนี้ จะมีแค่คนเดียว
หลังจากจบฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศส อันเดรียส ค็อปเค่ นายทวารมือหนึ่งของเยอรมัน ประกาศรีไทร์ นั่นเป็นการเปิดโอกาสให้เยอรมันหานายทวารคนใหม่
เฮดโค้ชเอริค ริบเบ็ค มีสองตัวเลือกคือ โอลิเวอร์ คาห์น วัย 30 ปี ที่เล่นอยู่กับบาเยิร์น มิวนิค กับ เยนส์ เลห์มันน์ จากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่อายุ 30 เท่ากัน
ริบเบ็คลังเลใจมาตลอด 2 ปี แต่ในที่สุดเมื่อทัวร์นาเมนต์ยูโร 2000 กำลังจะเริ่มต้นขึ้นเขาก็ต้องตัดสินใจว่าใครจะเป็นมือหนึ่ง ไม่คาห์น ก็เลห์มันน์
ถ้าดูจากผลงานในสนาม ในซีซั่น 1999-00 ก่อนยูโรจะเริ่ม บาเยิร์น มิวนิค คือแชมป์บุนเดสลีกา ณ ชั่วโมงนั้น พวกเขาเสียประตูน้อยที่สุด (28 ลูก จาก 34 นัด)
แต่ดอร์ทมุนด์ ก็ไม่ธรรมดา แม้จะจบอันดับ 11 ของลีก แต่พวกเขาเสียประตูน้อยที่สุดอันดับ 3 ของลีก (38 ลูก จาก 34 นัด) ซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้เลห์มันน์เนี่ยล่ะ คอยเซฟช่วยชีวิตไว้
อย่างไรก็ตาม ริบเบ็คตัดสินใจยกมือหนึ่งให้โอลิเวอร์ คาห์น
ไม่รู้ว่านั่นคือการตัดสินใจที่ผิดหรือไม่ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมา คือเยอรมันเสียประตูทุกนัด และตกรอบแบ่งกลุ่มในยูโร 2000 อย่างรวดเร็ว
หลังตกรอบยูโร ริบเบ็คโดนไล่ออก และทีมชาติเยอรมันแต่งตั้งโค้ชคนใหม่คือ รูดี้ โฟลเลอร์
อย่างไรก็ตาม ช่องว่างของคาห์น กับ เลห์มันน์ ก็ดูจะห่างไปเรื่อยๆ หลังจากในปี 2001 คาห์นพาบาเยิร์น คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกได้สำเร็จ แถมเป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ในนัดชิงอีกต่างหาก
ขณะที่ยูฟ่า มอบรางวัลนายทวารยอดเยี่ยมแห่งยุโรปให้คาห์น เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน นั่นคือช่วงพีกที่สุดของเขาในอาชีพพอดี
นั่นทำให้ตลอดรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2002 รูดี้ โฟลเลอร์ จึงใช้คาห์นเป็นตัวจริงมา 2 ปีเต็มๆ ขณะที่เลห์มันน์ก็ได้แต่ต้องอดทนในฐานะตัวสำรอง
จริงๆเลห์มันน์ ก็คิดว่าเขาไม่ได้ฟอร์มแย่อะไร ในฤดูกาล 2001-02 เขาพาดอร์ทมุนด์คว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้สำเร็จ แต่ถึงกระนั้น ในสายตาของโค้ช และสื่อมวลชนก็ยังมองว่า คาห์นเหนือกว่าเขาอยู่หนึ่งเลเวลอยู่ดี
เข้าสู่ฟุตบอลโลก 2002 คาห์นโชว์ฟอร์มเป็นพระเอก เซฟอุตลุต พาเยอรมันที่ดูไม่มีอะไรเลย ฝ่าฟันมาถึงนัดชิงชนะเลิศได้สำเร็จ แต่สุดท้ายไปแพ้บราซิล 2-0 จึงได้แค่รองแชมป์โลกไป
ถึงตรงนั้น ยังไม่มีใครคิดว่า เลห์มันน์จะหลุดหนีจากร่มเงาของคาห์นได้ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด คาห์นก็จะได้เป็นตัวจริงทีมชาติไปเรื่อยๆจนกว่าเขาจะแขวนสตั๊ดนั่นล่ะ
คาห์นคือนายทวารแบบ Old School ยืนปักหลักในกรอบ 6 หลา จุดเด่นของเขาคือเซฟลูกยิงยากๆ ที่ไม่มีใครคิดว่าจะเซฟได้
ส่วนเลห์มันน์ เป็นนายทวารแบบใหม่ เขาชอบมีส่วนร่วมกับกองหลัง ใช้เท้าเล่นฟุตบอลเยอะ ซึ่งถือเป็นของใหม่ ในโลกฟุตบอลยุคนั้น
"มันไม่มีกฎไหนที่ห้ามให้นายทวารออกมานอกเขตโทษนะ" เลห์มันน์กล่าว คือเขามั่นใจมาก ในการวิ่งออกมาเคลียร์บอลนอกเขตโทษ แต่ในยุคนั้น ถูกมองว่าเป็นเรื่องประหลาด เพราะโกล์ก็ต้องยืนปักหลักในกรอบเขตโทษสิ ทำตามหน้าที่ของตัวเองไป
เลห์มันน์เซฟจังหวะ 1 ต่อ 1 ได้ดี ลูกกลางอากาศก็ไม่พลาดง่าย แต่จุดอ่อนของเขาคือ บ้าบิ่นเกินไปจนทำทีมพัง
ปัญหาของเขาคือควบคุมอารมณ์ไม่เก่งเลย เขาโดนใบแดงเป็นว่าเล่นตอนอยู่ดอร์ทมุนด์ เขาเคยเอามือกระชากหัวติโม ลังเก้ ของฮันซ่า ร็อสต็อก จนโดนแดง รวมถึงเคยไปไล่เตะซูมาเลีย คูลิบาลี่ของไฟร์บวร์ก จนโดนแบน 4 นัด
ยังไม่นับเคยทะเลาะกับเพื่อนร่วมทีมด้วยตัวเอง มาร์โช อโมโรโซ่ จนโดนไล่ออกจากสนามอีกต่างหาก
คอนเซ็ปต์ของนายทวารทีมชาติเยอรมัน ต้องเป็นผู้นำที่เยือกเย็น สงบนิ่ง ไว้ใจได้ มันยิ่งทำให้ผู้คนมองว่า โอลิเวอร์ คาห์น เหมาะสมกว่าเลห์มันน์
3
การตกเป็นรองในทีมชาติอย่างต่อเนื่องตั้งแต่จบฟุตบอลโลก 2002 นั่นทำให้เลห์มันน์เริ่มคิด ว่าถ้าอยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบนี้ต่อไป เขาไม่มีทางชนะคาห์นได้แน่ เพราะยังไงที่เยอรมัน บาเยิร์น มิวนิค ก็ได้ภาษีดีกว่าดอร์ทมุนด์อยู่แล้ว
เดือนกรกฎาคม 2003 ที่สโมสรอาร์เซน่อล ในอังกฤษ กำลังเครียดหนัก เพราะนายทวารตำนานของทีม เดวิด ซีแมน ย้ายทีมไปแมนฯซิตี้ อาร์แซน เวนเกอร์ พยายามหาใครสักคนมาแทน แต่อีก 3 สัปดาห์ ฤดูกาลจะเปิดแล้ว ก็ยังหาไม่ได้เสียที
นายทวารที่มีก็แค่สจ๊วร์ต เทย์เลอร์, เรมี่ ชาบาน และ เกรแฮม สแต็ก ซึ่งแต่ละคนนี่ไว้ใจให้ยืนมือ 1 ไม่ได้เลย
เวนเกอร์ ติดต่อหานายทวารชั้นนำหลายคน แต่พวกเขาก็มีสังกัดของตัวเอง และไม่คิดย้ายทีม แต่ท้ายที่สุด ปลายเดือนกรกฎาคม เวนเกอร์ติดต่อไปหาเยนส์ เลห์มันน์ ของดอร์ทมุนด์
ตัวเลห์มันน์นั้นกำลังคิดเรื่องการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมพอดี เมื่อมีข้อเสนอจากอาร์เซน่อลมา เขาจึงตัดสินใจย้ายทันที ในวัย 33 ปี 9 เดือน
"เราดีใจมากที่ได้ตัวเขา" เวนเกอร์กล่าวในวันเซ็นสัญญา "เขามีทุกอย่างที่เราต้องการ ประสบการณ์สูง ความฉลาด พูดภาษาอังกฤษได้ดี และมีความเป็นผู้นำ"
หลายๆคนทึ่งในการกล้าตัดสินใจของเลห์มันน์ เพราะในฤดูกาล 2003-04 เป็นปีก่อนศึกยูโร นักเตะส่วนใหญ่จะไม่ค่อยกล้าย้ายทีม เพราะกลัวย้ายไปแล้วปรับตัวกับทีมใหม่ไม่ได้ จนทำให้โค้ชมองข้าม
ยิ่งย้ายไปต่างแดนด้วยแล้วล่ะก็ ในยุคนั้นเชื่อกันว่า นักเตะเยอรมัน ถ้าเล่นในเยอรมัน ก็มีโอกาสเข้าหูเข้าตาโค้ชได้ง่ายกว่า ทั้งทีมชาติ ณ เวลานั้น มีแค่ดีทมาร์ ฮามันน์คนเดียว ที่เล่นต่างแดน (กับลิเวอร์พูล) และเลห์มันน์ย้ายไปเป็นคนที่ 2
แต่เลห์มันน์ก็คิดล่ะ ว่าถ้าอยู่ดอร์ทมุนด์ต่อ ทุกอย่างมันก็เหมือนเดิม และเขาก็จะเป็นรองโอลิเวอร์ คาห์นอยู่วันยันค่ำ ดังนั้นย้ายเถอะ
ในซีซั่น 2003-04 เลห์มันน์ เฉิดฉายแววของนายทวารระดับโลก
เลห์มันน์ยังคงเล่นกล้าได้กล้าเสียเหมือนเดิม มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม แต่ภายใต้อาร์แซน เวนเกอร์ เขาใจเย็นขึ้น ไม่มีทำฟาวล์ไร้สาระ และไม่มีโดนใบแดงพร่ำเพรื่อเหมือนตอนอยู่ดอร์ทมุนด์อีกแล้ว
พาทริก วิเอร่า กัปตันอาร์เซน่อล ยอมรับว่าเขาทึ่งในความจริงจังของเลห์มันน์ในสนามซ้อม
"เยนส์จะด่า และโต้เถียงนักเตะทุกคนในสนามซ้อม เพราะเขาต้องการให้คุณตั้งใจจริงๆ เขาอยากให้คุณทำงานหนัก อยากให้คุณชนะ"
ที่เยอรมัน ความก้าวร้าวของเลห์มันน์อาจดูแปลก นักเตะในทีมเดียวกันไม่ค่อยพอใจที่โดนด่า แต่ที่อังกฤษมันเป็นเรื่องยอมรับได้ นักเตะซีเนียร์ในทีมทั้งวิเอร่า และเธียร์รี่ อองรี ยอมรับได้ถ้าคำตำหนิของเลห์มันน์มีเหตุผล
สุดท้ายเลห์มันน์จึงกลายเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ทำให้อาร์เซน่อล กลับมาทวงแชมป์คืนจากแมนฯยูไนเต็ดได้สำเร็จ ทีมปืนใหญ่ได้แชมป์แบบไร้พ่ายในซีซั่น 2003-04 และเลห์มันน์ เป็นคนเดียวในสโมสรที่ได้ลงเล่นครบ 38 นัด
ถึงตรงนี้ เริ่มมีเสียงวิจารณ์จากสื่อมวลชนแล้ว ว่าเลห์มันน์ ควรได้รับเลือกให้เป็นมือ 1 ทีมชาติหรือยัง ในยูโร 2004
เพราะโอลิเวอร์ คาห์น ณ เวลานั้นก็ฟอร์มไม่ได้ดีเลย บาเยิร์น มิวนิค จบฤดูกาลมือเปล่า ได้รองแชมป์บุนเดสลีกา และ ตกรอบ 16 ทีม ในแชมเปี้ยนสลีก ถ้าวัดผลงานในสนามเลห์มันน์ดีกว่าเห็นๆ
อย่างไรก็ตาม ในยูโร 2004 รูดี้ โฟลเลอร์ ตัดสินใจเลือกคาห์นให้เป็นตัวจริงอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนเลห์มันน์ผิดหวังอย่างหนัก เพราะเขาเล่นดีกว่าชัดเจนในสนาม
ในมุมของโฟลเลอร์ คิดว่าคาห์นเป็นตัวจริงมานานหลายปี และเป็นกัปตันทีมชาติอีกด้วย การจะมาดร็อป อาจเป็นเรื่องไม่เข้าท่าเท่าไหร่
เมื่อต้องเป็นสำรอง เลห์มันน์ออกมาวิจารณ์อย่างเผ็ดร้อน
"ผมสมควรได้ลงตัวจริงในยูโร 2004 ถ้าโลกนี้มีความยุติธรรมแม้เพียงนิด ผมรู้ว่าตัวเองควรได้เล่น"
"แต่โอเค ชีวิตของผมมันไม่ค่อยมีสีสันเท่าไหร่ มันมีแต่ฟุตบอลอย่างเดียว มันอาจไม่น่าสนใจเท่าไหร่ ผมลืมไปว่าตัวเองไม่ได้มีแฟนสาวอายุ 24 ปีนี่นา"
เลห์มันน์นั้นไปแขวะคาห์นโดยตรง เพราะแฟนสาวของคาห์นนั้น คือเวโรน่า สาวอายุ 24 ปี ที่คาห์นไปเจอที่ร้านเหล้า
มิถุนายน 2004 ก่อนศึกยูโรจะเริ่มขึ้น ทีมชาติเยอรมันรวมตัว 23 ขุนพลก่อนทัวร์นาเมนต์ ปรากฏว่า คาห์น กับ เลห์มันน์ ไม่คุยกันแม้แต่คำเดียว ต่างคนต่างซ้อม ทั้งคู่ไม่ใช่เพื่อนกัน
ศึกยูโร 2004 เริ่มขึ้น เยอรมัน มีผลงานน่าผิดหวังสุดๆ 3 นัด มี 2 แต้ม ตกรอบแรก
รูดี้ โฟลเลอร์ โดนเด้งออกไปหลังความล้มเหลวในยูโร 2004 คราวนี้เป็นเจอร์เก้น คลินส์มันน์ เข้ามารับหน้าที่แทน และสำหรับเลห์มันน์ นี่คือโอกาสครั้งใหม่ ที่เขาจะแย่งชิงมือ 1 ทีมชาติ
"เป้าหมายของผมคือมือ 1 ในฟุตบอลโลก 2006" เลห์มันน์ ประกาศ "ผมอยู่ในช่วงพีกของอาชีพ พร้อมทุกอย่างทั้งประสบการณ์ และสภาพร่างกาย"
ในช่วง 2 ปี 2004-2006 ทั้งคู่ปะทะคารมกันนอกสนามตลอดเวลา และมีตัวละครหลายคนเหลือเกินเข้ามาร่วมในสงครามครั้งนี้
7 ตุลาคม 2004 "เลห์มันน์ควรลืมเรื่องมือ 1 ไปได้เลย เพราะโอลิเวอร์ คาห์นดีกว่า" เซปป์ ไมเออร์ โค้ชประตูของเยอรมันกล่าว
เลห์มันน์ออกมาตอบโต้ไมเออร์ทันที "อ๋อ คาห์นมีเซปป์ ไมเออร์คอยสนับสนุนนี่ ผมลืมไปว่าเขาเป็นแฟนบาเยิร์นอยู่แล้ว ผมมันตัวคนเดียวไม่มีใครคอยหนุนหลังแบบนั้นนี่"
8 ตุลาคม 2004 "สิ่งที่เลห์มันน์ ถนัดที่สุดคือการใช้คำพูดยั่วยุคนอื่น เขาทำแบบนี้มาหลายปี" คาห์นโจมตีเลห์มันน์ตรงๆ
10 ตุลาคม 2004 เจอร์เก้น คลินส์มันน์ จำเป็นต้องไล่เซปป์ ไมเออร์ ออกจากตำแหน่ง เพื่อไม่ให้โดนข้อครหาว่า สตาฟฟ์โค้ชในทีมชาติมีความลำเอียงให้นักเตะคนใดคนหนึ่ง
12 ตุลาคม 2004 "เลห์มันน์ก็มีฟอร์มดีนะ แต่ถ้าคุณดูผลงานตลอดอาชีพของเขาล่ะ ไม่มีอะไรเลย มีเกมทีมชาตินิดหน่อย และแชมป์ลีกกับอาร์เซน่อลแค่นั้น" ฟรานซ์ เบ็คเค่นบาวเออร์ เปิดตัวสนับสนุนคาห์นเต็มที่
มกราคม 2005 คาห์นแซะเลห์มันน์อีกรอบ "ผมยังไม่ได้ก่อข้อผิดพลาดอะไรรุนแรงในทีมชาติมาก่อนเลย ดังนั้นผมควรเป็นมือ 1 ถ้ามีใครสักคนเก่งกว่าผม ผมจะเดินไปบอกโค้ชเลยว่า คนคนนี้ควรออกสตาร์ตตัวจริง แต่ปัญหาคือ ผมไม่เห็นมีใครเก่งกว่าผมสักคนเลยน่ะสิ"
ความขัดแย้งของทั้งสองคน มีมาตลอดตั้งแต่ยูโร 2004 ลากยาวมาเป็นเวลา 2 ปีเต็มๆ
ทั้งคู่โต้คารมกันผ่านสื่อตลอด แต่พอเวลามาเจอกัน ไม่มีใครคุยกัน เดินผ่านกันไปเหมือนอากาศธาตุ
ถึงตรงนี้ ยังไม่มีใครคาดเดาได้ว่า เจอร์เก้น คลินส์มันน์จะตัดสินใจอย่างไร เขาดูฟอร์มของทั้งคู่อย่างละเอียดมาก พิจารณาถึงข้อดี ข้อเสีย แถมมีการปรึกษาร่วมกับโยกี้ เลิฟ ผู้ช่วยโค้ช และอันเดรียส ค็อปเค่ โค้ชนายทวารทีมชาติ เพื่อหาผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ผลงานในซีซั่น 2005-06 ของทั้งคู่ได้บทสรุปดังนี้
- โอลิเวอร์ คาห์น ลงเล่น 34 นัด เสีย 32 ประตู บาเยิร์นแชมป์ลีก
- เยนส์ เลห์มันน์ ลงเล่น 38 นัด เสีย 31 ประตู อาร์เซน่อลอันดับ 4 ของลีก
เลห์มันน์ดูสถิติดีกว่านิดๆ แต่คาห์นก็เป็นตัวหลักของทีมชาติมาหลายปี และได้รับการยอมรับจากทุกคนที่เกี่ยวข้อง มันเป็นชอยส์ที่เลือกไม่ง่ายเลย
ในที่สุดถึงเวลาเลือก คลินส์มันน์ เตรียมประกาศแถลงข่าว แต่ก่อนหน้านั้น 1 คืน เขาสั่งอันเดรียส ค็อปเค่ โทรศัพท์ไปแจ้งข่าวกับผู้ชนะในสงครามครั้งนี้
คนที่ค็อปเค่โทรไปหา คือเยนส์ เลห์มันน์
"เยนส์ เราได้คำตอบแล้วนะ" ค็อปเค่พูด
"มันเป็นทางเลือกที่ไม่ง่ายสำหรับเราจริงๆ แต่เราคิดว่าจะให้นายเป็นมือ 1 ทีมชาติ"
ณ วินาทีนั้นเลห์มันน์ทำอะไรไม่ถูก นี่คือสิ่งที่เขาฝันมาตลอดชีวิต ในที่สุดพระเจ้าก็ประทานในสิ่งที่เขาต้องการ
"ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี" เลห์มันน์เล่าความรู้สึก "จะร้องไห้ด้วยความสุข จะโห่ร้องสะใจ จะชูมือทำเม็กซิกันเวฟ สิ่งเดียวที่ผมทำในเวลานั้นคือ ยิ้ม ในที่สุด 35 ปีที่รอคอย ผมก็มาถึงจุดนี้จนได้"
"ผมคิดว่าจุดที่ทำให้ผมชนะโอลิเวอร์ คาห์น คือหลังปี 2002 เขาหยุดพัฒนาตัวเองไปแล้ว แต่ผมกล้าเดิมพันที่จะย้ายมาอังกฤษ ซึ่งมันทำให้ผมมีพัฒนาการที่เพิ่มขึ้น เป็นผู้รักษาประตูที่สมบูรณ์ขึ้น"
จากนั้นค็อปเค่ ก็โทรไปแจ้งข่าวร้ายกับคาห์น ในคืนเดียวกัน
"ผมผิดหวังจริงๆกับการตัดสินใจครั้งนี้" คาห์นเล่าความรู้สึก "และผมจะสรุปอนาคตของตัวเองกับทีมชาติในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า"
วันรุ่งขึ้น เจอร์เก้น คลินส์มันน์ ตั้งโต๊ะแถลงข่าว และบอกกับสื่อมวลชนว่า "นี่เป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิตของผม แต่ผมเลือกเลห์มันน์เพราะเขาดีกว่าอยู่เสี้ยวหนึ่ง"
"ถ้าย้อนกลับไปสักปีที่แล้ว โอลิเวอร์นำหน้าเยนส์อยู่ แต่ผลงานในช่วง 2-3 เดือนหลังสุด เยนส์นำหน้าโอลิเวอร์จริงๆ"
"สตาฟฟ์โค้ช เรามีความมั่นใจในตัวเยนส์เต็มเปี่ยม และเขารู้วิธีที่จะเล่นร่วมกับแนวรับอายุน้อยๆของทีมชาติได้อย่างดีด้วย"
"โอลิเวอร์ผิดหวังมากแต่เขาก็รับมันอย่างมืออาชีพ ส่วนเยนส์ก็สัญญาว่าจะไม่ทำให้โค้ชผิดหวังแน่นอน"
บทสรุปในสงครามของเลห์มันน์ กับ คาห์น ที่ต่อสู้กันมายาวนาน 8 ปี คาห์นเอาชนะมาได้ตลอดทาง แต่พอถึงทัวร์นาเมนต์สุดท้าย ผู้ชนะคือเยนส์ เลห์มันน์
บรรยากาศของทั้ง 2 คน ก็ยังเต็มไปด้วยตึงเครียดต่อไป ในการซ้อมพวกเขาเป็นมืออาชีพเต็มที่
ตอนนั้นสื่อมวลชน สตาฟฟ์โค้ช หรือแม้แต่นักเตะในทีมก็เลิกหวังว่าทั้งคู่จะคุยกัน เพราะมันคงเป็นไปไม่ได้ ถ้าจะคุยกันดีๆ เลห์มันน์กับคาห์น คงคุยกันมาหลายปีก่อนหน้านี้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ภูเขาน้ำแข็งของทั้งสองคนก็มาพังทลายลง ในฟุตบอลโลก 2006 นี่เอง
เยอรมันฝ่าฟันคู่แข่งมาได้เรื่อยๆ จนถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่ต้องเจออาร์เจนติน่า หนึ่งในตัวเต็งแชมป์
อาร์เจนติน่าทีมนั้นมีทั้ง คาร์ลอส เตเวซ, เอร์นัน เครสโป, ฮวน โรมัน ริเกลเม่ ฯลฯ ส่วนลีโอเนล เมสซี่ มีชื่อเป็นตัวสำรอง
รูปเกมเยอรมันไม่ดีกว่าเลย แต่ก็ไล่ตีเสมอได้สำเร็จก่อนยันจบ 120 นาทีด้วยสกอร์ 1-1 ต้องไปตัดสินกันที่ช่วงดวลจุดโทษ
สำหรับเยอรมัน นี่การดวลจุดโทษครั้งสำคัญที่สุดของทีมชาติ ในรอบ 2 ทศวรรษเลยทีเดียว มันเป็นการดวลที่มีความหมายจริงๆ
ในเวลานั้น เป็นช่วงเวลาที่รวมใจของคนทั้งชาติ ทุกคนล้วนส่งใจให้เลห์มันน์เซฟจุดโทษให้ได้ ไม่เว้นแม้แต่คู่ปรับตลอดกาลของเขา โอลิเวอร์ คาห์น
เราเห็นภาพที่น่าประทับใจที่สุดภาพหนึ่งในโลกฟุตบอล เมื่อคาห์นเดินมาหาเลห์มันน์ที่กำลังทำสมาธิก่อนจะเตะจุดโทษ
คาห์นก้มตัวลงไปลูบหัวเลห์มันน์ และพูดออกไปว่า
"ขอให้นายโชคดีนะ"
"ตอนนี้มันเป็นช่วงเวลาของนายแล้ว นายทำได้"
นี่คือการแสดงความเป็นมืออาชีพอย่างที่สุดของโอลิเวอร์ คาห์น เขาก้าวผ่านความขัดแย้งได้อย่างน่าประทับใจจริงๆ
เรื่องที่เคยทะเลาะกันต่างๆนานา ไม่มีความหมายอะไรอีกแล้วในสถานการณ์นี้ ใช่ พวกเขา เคยไม่คุยกันจริงๆ แต่คาห์นรู้ดีว่า สิ่งที่สำคัญกว่าคืออะไร
ในเกมนั้นเลห์มันน์ เซฟ 2 จุดโทษ พาเยอรมันชนะอาร์เจนติน่า เข้ารอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ ถือเป็นโมเมนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาชีพของเยนส์ เลห์มันน์อย่างแท้จริง
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ความขัดแย้งของเลห์มันน์ กับคาห์น ก็เริ่มเบาลง ตัวเลห์มันน์เองก็อ่อนโยนมากขึ้น
หลังเยอรมันแพ้อิตาลีในรอบรอง ของฟุตบอลโลก พวกเขาต้องมีโปรแกรมชิงที่ 3 กับโปรตุเกส ซึ่งเลห์มันน์ก็คิดว่า คาห์น ในวัย 37 ปี ควรได้โอกาสลงเล่นเพื่ออำลาทีมชาติอย่างสง่างาม
"ถ้าโอลิเวอร์อยากเล่น มันก็โอเคสำหรับผมนะ" เลห์มันน์กล่าว "เขาเป็นแบบอย่างของความเป็นมืออาชีพ และเป็นคนที่ทำงานหนักเสมอเวลาซ้อม แน่นอนเขาควรได้รับโอกาสลงสนามในฟุตบอลโลก"
เกมชิงที่ 3 เยอรมัน ชนะโปรตุเกส 3-1 คาห์นได้ใส่ปลอกแขนลงสนาม และโชว์ฟอร์มได้อย่างไว้ลาย เซฟจังหวะสำคัญนับไม่ถ้วน
และนั่นคือการลงเล่นทีมชาติครั้งสุดท้ายของโอลิเวอร์ คาห์น ปิดฉากทีมอินทรีเหล็กด้วยการลงสนามทั้งสิ้น 86 นัด
สงครามของเยนส์ เลห์มันน์ กับ โอลิเวอร์ คาห์น ถือเป็นการต่อสู้นอกสนามที่เข้มข้นที่สุดครั้งหนึ่งในวงการฟุตบอล
สิ่งที่เราเห็นคือทั้งคู่แม้จะไม่ชอบหน้ากัน แต่ทั้งคู่ก็ยอมรับในตัวกันและกัน
คาห์นเป็นแรงผลักดันให้เลห์มันน์ และเลห์มันน์ก็เป็นแรงผลักดันให้คาห์น
การมีคนที่เป็นเป้าหมายให้เอาชนะ มันเป็นแรงถีบให้ตัวเองมุ่งมั่นขึ้น แข็งแกร่งขึ้น เพื่อเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้ในสักวัน
ถึงวันนี้แม้ทั้งคู่จะแขวนสตั๊ดไปนานแล้ว แต่เรื่องราวการต่อสู้กันดุเดือดของ 2 นายทวารชาวเยอรมัน ก็ยังคงถูกเล่าขานต่อไปไม่รู้จบ
#KAHN #LEHMANN
โฆษณา