20 ก.ย. 2019 เวลา 10:26 • ความคิดเห็น
ยารักษา "โรคขี้บ่น"
ได้เกิดความใสสว่างกระจ่างกลางใจของแอดมิน จึงอยากจะแบ่งปันต่อผู้ที่รำคาญใจกับนิสัยช่างขี้บ่นของตนเองค่ะ
เชื่อว่านิสัยขี้บ่นเป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปในคนส่วนใหญ่ (ใครไม่มีนิสัยนี้ก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ) วันนี้แอดมินขอคุยกับคนขี้บ่นโดยเฉพาะแล้วกันค่ะ
โดยส่วนตัวก็เป็นคนขี้บ่นมาก่อน เดี๋ยวนี้ก็ยังบ่น แม้จะอัพเกรดจากการบ่นออกไป เป็นบ่นในใจแทน ด้วยรู้ว่านิสัยบ่นเป็นสิ่งที่ไม่ดี และควรจะละ-ลด-เลิก เพราะใครๆ ก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ อีกทั้งสร้างมลพิษทางใจให้กับตัวเราเองเป็นอย่างมาก
การบ่นมักจะทำให้เหนื่อยเพราะการคิดลบมักทำให้เสียพลังงานมาก จิตใจที่ฟุ้งซ่านมักจะทำให้สมองและร่างกายมักรู้สึกอ่อนเพลีย
ทุกคนรู้ดีว่าทำไมจึงได้บ่น สาเหตุในการบ่นก็มีหลากหลาย แต่คนส่วนใหญ่อาจยังไม่รู้ว่า สาเหตุหนึ่งจริงๆ มักมาจากการที่เรามีความไม่พอใจสิ่งนั้นในตนเองอยู่ แต่ไม่รู้ตัว หรือรู้อยู่แต่ยากจะยอมรับ ต่อเมื่อได้ไปพบกับสถานการณ์ที่เข้าล็อคกับแบบพิมพ์ความไม่พึงพอใจในตนเองอย่างนั้นในตัวคนอื่นเข้า ก็จะเกิดปฏิกริยาตอบกลับแบบทันควัน และอยากที่จะพรั่งพรูออกมาเป็นการบ่น
ขออภัยที่แอดมินไม่ได้มีที่อ้างอิงข้อความข้างต้น เพราะมาจากการจำได้จากคลิปธรรมะที่เคยฟังมา ที่สะกิดใจขึ้นมาในวันนี้เพราะบังเอิญได้ไปนั่งสนทนากับเพื่อนคนหนึ่งที่ได้ระบายบ่นความไม่พอใจต่อเพื่อนร่วมงานออกมาด้วยความหงุดหงิดเต็มที่
ไม่น่าเชื่อว่า!!! สิ่งที่เพื่อนได้บ่นคนอื่นไปนั้น เป็นสิ่งที่แอดมินเห็นได้ชัดว่ามีอยู่ในตัวของเพื่อนคนนั้นเองทุกประการ ปรากฎการณ์นี้ทำให้แอดมินนึกถึงข้อความในคลิปธรรมะนั้นได้ ต่อมามันก็อดไม่ได้ที่อยากจะพิสูจน์ข้อเท็จจริงนี้ จึงได้ลองนั่งลงทบทวนตัวเองว่า ในระยะใกล้ๆ นี้ ได้นึกบ่นใคร และบ่นเรื่องอะไรบ่อยๆ ไปบ้าง และก็สะท้านใจมาก เมื่อได้พบว่า ส่วนใหญ่ของความไม่พอในสิ่งที่บ่นคนเหล่านั้นไปมันมีอยู่ในตัวเราจริงๆ ด้วย แต่ที่ผ่านมา เวลาบ่นคนอื่น กลับบอกตัวเองและผู้ฟังเราบ่นว่า "ถ้าเป็นเราจะไม่ทำแบบนี้" เหมือนกับว่าตัวเองช่างดีเลิศเลอ
อยากบอกว่า... เมื่อมาถึงตรงนี้ รู้สึกเหมือนได้ตบหน้าตัวเองเลยว่า ที่แท้เราก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนที่เรากำลังไปบ่นเขาเลย ตรงกันข้ามเรากลับน่าเกลียดกว่าอีกที่บ่นคนอื่นและเทิดทูนตนเองในสิ่งที่จริงๆ ฉันก็เป็น!!! การสะดุดตอแบบนี้มันจบการอยากบ่นในใจเลยค่ะ เพราะใจมันยอมรับแล้วว่า เราเองก็เป็นเหมือนกัน แล้วมันก็กลับทิศเองจากการอยากบ่นเป็นการอยากแก้ไขเอานิสัยที่แสนน่าเกลียดในตัวออกไปมากกว่า
ถ้าวันนี้ใครอยากเลิกนิสัยขี้บ่นได้อย่างหายเกือบขาด ลองนั่งคิดนอนคิดดูนะคะว่า ข้อเสียต่างๆ ที่บ่นๆ คนอื่นไป (เลือกเอาคนที่เราบ่นด้วยความหมั่นไส้เต็มที่ก่อนเลยค่ะ) มันมีในตัวเรามั๊ย เราเองก็ทำบ่อยๆ แต่ทำเป็นไม่เห็นมั๊ย และถ้าทำได้ถึงขนาดกล้าหาญยอมรับความไม่ดี ความน่าเกลียดของตัวเองได้อย่างหมดใจไม่ให้ท้ายเข้าข้างตัวเองเลยแล้วล่ะก้อ เชื่อได้ว่า อารมณ์อยากบ่นจะสลายไป กลายเป็นความอยากแก้ไขปรับปรุงตนเองแทน เพราะมันทนตัวเองไม่ไหวค่ะ
เชื่อเถอะค่ะว่าวิธีนี้มันแก้ได้หายขาดกว่าการไปพยายามทำตามขั้นตอน 1-2-3-4 ที่ให้หัดคิดแบบโน้น หัดมองแบบนี้ อย่างแน่นอน เพราะมองยังไงก็มองไม่เห็นความจริง ถ้าไม่มองเข้ามาที่ตัวเอง และถ้ามองจนเห็นความจริงแล้ว....มันจบค่ะ! ที่สำคัญคือ อย่าหลอกตัวเองไปเรื่อยๆ นะคะ
สุดท้ายก่อนจบ ขอยกวาทะของคุณดังตฤณที่แอดมินประทับใจมาก มาประทับในใจของเพื่อนผู้อ่านทุกคนนะคะ ขอให้ยาแก้โรคขี้บ่นของแอดมินใช้ได้ผลกับทุกคนที่อยากรักษาด้วยเช่นกันค่ะ :)
*คนเราไม่พอใจในตนเอง
แต่ไม่อยากเกรี้ยวกราดกับตนเอง...
จึงมักมองหาความน่าพอใจในคนอื่น
แล้วเกรี้ยวกราดเอากับความไม่ได้อย่างใจของคนอื่น...
* อาการชอบจ้องจับผิดคนอื่น
อาจเป็นส่วนหนึ่งในวิธีซ่อนความกลัวถูกจับได้ว่าตนมีความผิดอะไรบ้าง
*ข้อเสียของตนเองคือสิ่งที่ทุกคนมีสิทธิ์เห็นก่อนคนอื่น
แต่ทำใจยอมรับได้เป็นคนสุดท้าย
คัดลอกจากบางส่วนของวาทะ อ.ดังตฤณ : มองคนอื่น VS มองตัวเอง
โฆษณา