27 ก.ย. 2019 เวลา 09:01 • ประวัติศาสตร์
"รูปปั้นพระเยซูที่เมืองริโอ ดิ จาเนโร (Rio de Janeiro) กับจักรวรรดิบราซิล (Empire of Brazil) ที่ล่มสลาย" ประเทศบราซิล (Brazil)
"กริซตูเรเดงตูร์ (Cristo Redentor)" รูปปั้นพระเยซูที่สวยงามที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเขากอร์โกวาดู (Corcovadu) ที่เมืองริโอ ดิ จาเนโร ของประเทศบราซิล
Rio de Janeiro
การได้มาเดินเล่นสถานที่โด่งดังของเมืองริโอ ดิ จาเนโร (Rio de Janeiro) อย่างกริซตูเรเดงตูร์หรือรูปปั้นพระเยซูนั้นมันช่างให้รู้สึกดีๆและมีความสุขจริงนะครับ....
1
และที่นี่เองก็ยังทำให้ผมหวนนึกได้ว่า...เออ!!บราซิลจริงๆแล้วก็เคยเป็นจักรวรรดิหรือประเทศที่มีระบบกษัตริย์ของตนเองหลังเป็นอิสระจากประเทศเจ้าอาณานิคม..
ซึ่งก็มีเพียง 3 ประเทศในทวีปอเมริกาเท่านั้นที่เคยมีระบบกษัตริย์หลังอาณานิคม โดยอีกสองประเทศก็คือ เม็กซิโก (Mexico) กับ ไฮติ (Haiti)
จากกูเกิล
แต่บราซิลนั้นจะมีที่มาที่แตกต่างจากอีกสองประเทศเพราะจักรพรรดิของจักรวรรดิบราซิล (Empire of Brazil) เป็นเชื้อสายกษัตริย์แท้ๆ ไม่เหมือนเม็กซิโก และไฮติที่ผู้นำการเมืองได้ประกาศและตั้งตัวเป็นกษัตริย์ขึ้นมา นั่นก็ทำให้บราซิลและโดยเฉพาะเมืองริโอ ดิ จาเนโร ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิจึงมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจมากครับ..
Cristo Redentor
ส่วนความคิดในการที่จะสร้างรูปปั้น Cristo Redentor นั้นก็เกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดยมีคณะบาทหลวงกลุ่มหนึ่ง (Vincentian Preist ) ได้เสนอให้สร้างอนุเสาวรีย์พระเยซูเพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าหญิงอิสซาเบล (Pricess) แห่งจักรวรรดิบราซิล (Empire of Brazil)
เจ้าหญิงอิสซาเบลผู้นี้มีโอกาสได้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน (Empire' s Regent) แทนบิดาซึ่งก็คือ "จักรพรรดิเปโดรที่ 2 (Emperor Dom Pedro II)" ถึงหลายครั้งในช่วงการปกครองของพ่อ
1
และเจ้าหญิงผู้นี้เองก็คือผู้ที่ออกกฎหมายเลิกทาส(Golden law) ของจักรวรรดิบราซิลเมื่อปี 1888 แต่ข้อเสนอของคณะบาทหลวงที่จะสร้างอนุเสาวรีย์รูปปั้นพระเยซูก็ไม่ได้รับอณุญาติในสมัยนั้นครับ...
ภาพจาก wikipedia
บราซิลเป็นดินแดนในอาณานิคมโปรตุเกสตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 16 และเป็นเเหล่งอุตสาหกรรมน้ำตาลหลักของราชอาณาจักรโปรตุเกสรวมถึงเป็นแหล่งการผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญในยุคนั้น ดังนั้นอาณานิคมบราซิลจึงมีการนำเข้าทาสจากอาฟริกาจำนวนมหาศาลเลยทีเดียว
นั่นเป็นสาเหตุให้มีคนเชื้อสายอาฟริกันเป็นจำนวนมากในบราซิลจนถึงปัจจุบัน
แต่เมื่อถึงต้นศตวรรษที่ 19 จักรพรรดินโปเลียน (Napolean) ของฝรั่งเศสได้เข้ายึดดินแดนมากมายในยุโรปรวมถึงโปรตุเกส
นโปเลียน ที่คาบสมุท่ไอบีเรีย ภาพจาก wikipedia
นั่นก็ทำให้ในปี 1808 กษัตริย์จอห์นที่ 6 (João VI) ของโปรตุเกสต้องหนีและลี้ภัยสงครามมาอาณานิคมบราซิล และตัดสินใจย้ายเมืองหลวงชั่วคราวจากกรุงลิสบอน (Lisbon) มายังเมืองริโอ เดอ จาเนโร (Rio de Janeiro) ที่บราซิลนั่นเอง
และนั่นก็ทำให้ริโอ (Rio) กลายเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรโปรตุเกส (Kingdom of Portugal) และเป็นเมืองหลวงเดียวของอาณาจักรยุโรปที่อยู่นอกยุโรปครับ..
ราชวังใน Rio และ ฉายาลักษณ์ João VI
แต่เมื่อสงครามสงบลงกษัตริย์ João VI ก็ย้ายกลับไปโปรตุเกสและให้เจ้าชายเปโดร (Dom Pedro) ผู้เป็นลูกชายเป็นผู้สำเร็จราชการแทนและปกครองบราซิลต่อจากพระองค์
แต่สุดท้ายเจ้าชายเปโดรกลัวสูญเสียอำนาจเนื่องจากรัฐบาลโปรตุเกสในเวลานั้นต้องการรวบอำนาจการบริหารกลับไปที่โปรตุเกสทั้งหมด ด้วยเหตุนี้เองเจ้าชายเปโดรจึงประกาศแยกประเทศและตั้งเป็นจักรวรรดิบราซิล (Empire of Brazil) ขึ้นมาในปี 1822
ภาพจากกูเกิล
จักรวรรดิบราซิล ภาพจากกูเกิล
และเจ้าชายเปโดรก็กลายเป็น "จักรพรรดิเปโดรที่ 1 (Emperor Dom Pedro I)" และเมืองริโอ ดิ จาเนโรก็กลายเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิ
Rio de Janeiro
จักรววรดิดำเนินไปอีกจนถึงเพียงรุ่นลูกเท่านั้น ซึ่งก็คือจักรพรรดิเปโดรที่ 2 (Emperor Dom PedroII) ซึ่งเป็นพ่อของเจ้าหญิงอิสซาเบล (Princess Isabel)
ภาพจากกูเกิล
ถึงแม้ว่าเจ้าหญิงจะพยายามแก้ปัญหาที่รุมเร้าของจักรวรรดิบราซิลในช่วงนั้นโดยเฉพาะการเลิกทาสแต่ก็ไม่ทำให้รอดจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เนื่องจากนักการเมืองฝ่ายต่อต้านระบบกษัตริย์สามารถปลุกอารมณ์ประชาชนได้สำเร็จ
และสุดท้ายระบบกษัตริย์ของจักรวรรดิบราซิลก็ต้องล่มสลายในปี 1889 และประเทศก็กลายไปเป็นแบบสาธารณรัฐในที่สุด แล้วก็สิ้นสุดระบบจักรวรรดิบราซิลที่ดำเนินมาถึง 67 ปี
เหล่าสมาชิกราชวงศ์ต้องหนีภัยการเมืองไปพึ่งพระญาติที่ราชอาณาจักรโปรตุเกสในยุโรปนั่นเอง
หน้าราชวัง ภาพจาก wikipedia
แต่หลังจากนั้นรูปปั้นพระเยซูก็ได้ถูกอนุมัติให้สร้างขึ้นในที่สุด ก็ตรงกับปี 1922 โดยรัฐบาลสาธารณรัฐ
รูปปั้นพระเยซูที่สร้างขึ้นนี้มีความสูง 38 เมตรและหนักหลายร้อยตันโดยตั้งอยู่บนเขาที่ความสูง 708 เมตร ซึ่งก็ทำให้เป็นสัญลักษณ์ที่สง่างามของเมืองริโอจนถึงปัจจุบันเลยครับ
และผู้สร้างสรรค์งานประติมากรรมชั้นเยี่ยมนี้ก็คือปอล ลันดอฟสกี (Paul Landowski) ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์ซึ่งเป็นผู้ออกแบบ และเอโตร์ ดา ซิลวา กอชตา (Heiter da Silva Costa) วิศวกรชาวบราซิลก็จะเป็นผู้สร้างขึ้นมา....
Cristo Redentor
รูปปั้นพระเยซู หรือที่เรียกว่า "กริซตูเรเดงตูร์ (Cristo Redentor)" ก็กลายเป็นสถานที่ที่คนที่มาเมืองริโอ ดิ จาเนโรหรือประเทศบราซิลต้องมาเยือนให้ได้สักครั้งครับ..
นอกจากกริซตูเรเดงตูร์ที่สง่างามแล้วเมืองริโอนี้เองก็ยังมีทิวทัศน์และภูมิประเทศที่สวยงามมากครับ โดยจะมีชายหาดและขุนเขาที่ทำให้บ้านเมืองดูงดงามมากและผู้คนก็เป็นมิตรมาก นอกจากนี้สภาพอากาศที่นี่อยู่สบายๆ ไม่ร้อนไม่หนาวเกินไปตลอดปี
ด้วยอัตราการเกิดอาชญากรรมของเมืองนี้ถือว่าไม่สูงมากเมื่อเทียบกับเมืองใหญ่อื่นในบราซิลและทวีปละตินอเมริกา ซึ่งก็ทำให้เที่ยวง่ายแค่เพียงระวังตัวนิดๆนะครับเพราะอย่างไรอาชญากรรมที่นี่ก็ยังถือว่าสูงกว่าประเทศไทยเราเยอะครับ
1
หาด Copacabana ชื่อดัง
แต่โดยส่วนตัวแล้วผมว่าเป็นเมืองที่สวยและน่าอยู่มากเลยครับ ....อาหารอร่อยด้วย🤣🤣🤣
เมืองริโอ ดิ จาเนโร (Rio de Janeiro) ....อดีตเมืองหลวงของจักรวรริดบราซิล...
มีโอกาสลองไปนะครับ คนไทยไม่ต้องใช้วีซ่าและค่าครองชีพไม่เเพงมากครับ
Rio
#wornstory
โฆษณา