15 ธ.ค. 2019 เวลา 09:09 • ประวัติศาสตร์
ก่อนที่เราจะตัดสินใจลาออก
เราพยายามเรียนรู้ทุกอย่างที่ทางบ้านทำ
หนึ่งในนั้นคือ การทำนา เรามีนาไม่เยอะค่ะ มีแค่ 5 ไร่ แต่เรามีนาของญาติที่ให้ทำฟรี อีก 3 ไร่ รวมๆแล้วเราก็ทำประมาณ 8 ไร่
โปรเจคสวยหรูของเราเกิดอีกแล้ว เราจะขายข้าว โดยทำเป็นข้าวอินทรีย์ บ้านเราขึ้นชื่อเรื่องข้าวหอมมะลิอยู่แล้ว และเราจะปลูกข้าวไรส์เบอรี่ เราโปรโมทที่ออฟฟิศและผู้คนมากมาย ทุกคนรอซื้อเพียบ
เราเริ่มศึกษาเรียนรู้จากพ่อ กับ แม่ ผู้ที่ทำนามาตั้งแต่จำความได้ แต่ก็ได้แค่รู้เบื้องต้น เพราะเราต้องทำงาน เราไม่สามารถไปทำนาและทำงานได้ในเวลนขาเดียวกัน เพราะการปลูกข้าวต้องมีการดูแลเยอะมากๆเลย
พ่อทำนา เคมี เพราะผลผลิตดี และง่าย ส่วนเรา อยากทำนาอินทรีย์ ด้วยเหตุผลของชาวกรุงที่ ต้องการข้าวปลอดสารเคมี
ปี 2016
เราเลยเสนอพ่อ เราจะลงทุนเองทั้งหมดในการทำนาครั้งนี้ และส่วนนึงขอปลูกไรส์เบอรี่ และไม่ใช้เคมี เราจดรายละเอียดทุกอย่าง เงินลงทุนทุกบาททุกสตางค์ เพื่อดูว่าจะรอดหรือจะร่วง
เราให้พ่อใช้วิธีการดำนา แทนการหว่านข้าว เพราะถ้าเป็นวิธีการหว่าน หญ้าจะเยอะมากๆ เราไม่อยากใช้ยาฆ่าหญ้า
เราปลูกข้าวหอมมะลิ 105 และเพิ่มเติมคือ ทดลองปลูกข้าว ไรส์เบอรี่ ด้วย
ไม่นานนักต้นข้าวของเราเริ่มโต แต่สิ่งสำคัญคือน้ำ ฝนไม่ตกจร้า ดินเริ่มแห้ง เราก็เลยขึ้นเหนือไปอีกครั้ง เพื่อไปดูต้นกล้าน้อยๆของเรา ว่ามันจะรอดมั๊ย
ดินแตกเป็นเสี่ยงๆ 555
เดชะบุญ เราไปเหยียบที่นาเราไม่กี่วัน ฝนก็ตกลงมาค่า ฮ่าๆๆ น้ำตาจะไหล เพราะตอนที่เราไป ดินมันแห้งมาก คือ ถ้าฝนไม่ตก ข้าวมีตายแน่ๆ
พอฝนตก ก็ให้พ่อใส่น้ำหมัก ที่แม่หมักไว้สมัยน้ำหมักป้าเชงดังๆ ฮ่าๆๆ แต่แม่กินไม่ลงทั้งๆที่หมักไว้หลายถังมากๆ สุดท้าย น้องข้าวของเราก็ได้มันไปเต็มทุ่งนาเลย
เวลาผ่านไปหลายเดือน เราก็กลับไปอีกครั้ง ต้นข้าวของเราโตแล้ว พร้อมที่จะออกรวงแล้ว
ทุ่งนาเราเองจร้า
ธรรมชาติที่บ้านเกิด ทำให้เรารู้สึกมีความสุขในทุกๆครั้งที่ได้กลับไป จนลืมความวุ่นวายต่างๆมากมายที่พึ่งเกิดขึ้นที่เมืองหลวงไปเลยล่ะค่ะ
ในระยะเวลาหลายเดือน พ่อก็ดูแลต้นข้าวของเราให้เติบโต แต่ตัวก่อกวนสำคัญคือ เจ้านกน้อย ไม่รู้มันจะชอบอะไรในข้าวไรส์เบอรี่ของเรานักหนา หรือว่า เป็นสิ่งใหม่ เพราะนาแถวนั้นปลูก หอมมะลิทั้งหมด มันคงคิดว่า เอ๊ะ! นั่นอะไรดำๆ ไม่เคยเห็น ไปลองกินดีก่าาา
เราทดลองใช้ทุกวิธี หุ่นไล่กาเอย ใช้ซีดีเอย ไม่ได้ผลเลย นกยุคนี้มันฉลาดไม่หลงกลมนุษย์แล้ว ฮ่าๆๆ สุดท้ายก็ต้องปล่อยน้องนกแทะเล็มตามเวรตามกรรม ภาวนาให้เหลือให้เรากินบ้างก็พอ
ข้าวไรส์เบอรี่ของเราเอง
พอถึงเวลาเก็บเกี่ยว ข้าวที่คิดว่าจะได้เยอะก็หดหายไปพอสมควร เราตั้งใจว่า จะเอาข้าวไรส์เบอรี่ที่ได้แพคขาย แต่ ปัญหาก็มี พ่อหาโรงสีที่รับสีข้าวไรส์เบอรี่ยากมาก จนสุดท้ายเจอที่นึง แต่ พอสีข้าวออกมาก็ปนกับข้าวชนิดอื่นอยู่ดี โปรเจคเอาข้าวไปขายเลยพับเก็บไว้ล้อคกุญแจ ฮ่าๆๆ สุดท้ายก็เก็บไว้กินเอง และแจกปีใหม่ออฟฟิศ ไม่ได้ตังค์แต่ได้รอยยิ้ม และอิ่มใจ
การทดลองของเราในครั้งนี้ เราพบว่าต้นทุนสูงมาก พอขายข้าวเสร็จได้กำไรไม่คุ้มทำเลย ด้วยเหตุผลของ ค่าแรงในการปลูก ค่าแรงในการเก็บเกี่ยว และผลผลิตที่ได้ ได้น้อยกว่าการใช้เคมี โปรเจคนาอินทรีย์ และ ข้าวไรส์เบอรี่ของเราจึงต้องพับเก็บไว้
บางทีสิ่งที่เราฝันกับความเป็นจริง มันก็สวนทางกัน แต่อย่างน้อย เราก็ยังได้ทำความฝันของเรา และเกิดการเรียนรู้ แม้ว่ามันจะไม่ได้สำเร็จสวยงามอย่างที่คิดไว้ก็ตาม
ใครมีความฝัน อย่าลืมลงมือทำนะคะ
อย่าปล่อยให้ความฝันเป็นแค่ฝัน
การได้ลงมือทำ สนุกยิ่งกว่าตอนฝัน
แม้ตอนจบจะจบลงแบบไหน
แต่ระหว่างทาง เราก็มีรอยยิ้มที่ได้เดินตามความฝันนะคะ
ฝากติดตามด้วยน๊า
โฆษณา