4 ต.ค. 2019 เวลา 14:00
⌛การเมืองไทยในปี พ.ศ.2600⌛
วันนี้เป็นวันที่ 1มกราคม พ.ศ. 2600
ข้าพเจ้าเขียนบทความนี้ ณ เวลา 0:01น. เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนกำลังเฉลิมฉลองปีใหม่กันอยู่
ข้าพเจ้าอยากจะเขียนเพื่อบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับสังคมไทย ณ เวลานี้ไว้ให้ชนรุ่นหลังได้อ่านกันในภายภาคหน้า
ประเทศไทยของเรา ณ เวลานี้ได้เปลี่ยนไปอย่างมากแบบเเทบจะเรียกได้ว่า หน้ามือเป็นหลังมือเมื่อเทียบกับสมัยก่อน
ประเทศไทย ณ เวลานี้ถือได้ว่าก้าวหน้าเทียบเท่ากับประเทศสิงค์โปร์ เกาหลีใต้ หรือแม้แต่ญี่ปุ่น
ซึ่งสิ่งที่ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยเราพัฒนาไปได้ไกลขนาดนี้ก็คือ"การเมืองไทย"
การเมืองไทยได้มาถึงจุดที่เรียกว่า การเมืองยุคใหม่อย่างแท้จริง
เรามีนักการเมืองที่พูดได้ว่าเกิน 90เปอร์เซนต์ เป็นนักการเมืองน้ำดี
ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างฝ่ายต่างทำเพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง
ฝ่ายรัฐบาลมีนายกรัฐมนตรีที่ซื่อสัตย์สุจริต และมีความสามารถเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ
ส่วนรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงก็คัดมาจากคนที่มีความรู้ความสามารถและเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ ไม่ใช่มาจากโควตาต่างๆเหมือนเมื่อหลายสิบปีก่อน
ฝ่ายค้าน ก็ถือได้ว่าเป็นฝ่ายค้านที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย เพราะเป็นฝ่ายค้านที่คอยตรวจสอบรัฐบาลแบบละเอียดยิบ แต่ไม่ใช่จ้องจับผิดเรื่องไร้สาระต่างๆ แต่จะคอยตรวจสอบดูว่านโยบายไหนของรัฐบาลที่ดูแล้วไม่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ก็จะคอยทักท้วง แต่จะไม่แค่ทักท้วงอย่างเดียว แต่จะเสนอแนะเเนวทางต่างๆให้กับรัฐบาลด้วย
ซึ่งฝ่ายรัฐบาลก็รับฟังฝ่ายค้านและนำไปแก้ไขทันที
พูดได้ว่า ที่ประเทศไทยเราพัฒนาแบบก้าวกระโดด ก็คงมาจากเรามีทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่ตั้งใจทำเพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง ไม่ใช่หวังแย่งชิงอำนาจกันไปมาเหมือนอย่างยุคหลายสิบปีก่อน
ส่วนรัฐธรรมนูญในยุคนี้ อาจยังไม่ใช่รัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหากับบ้านเมืองนัก เพราะนักการเมืองทุกคนยึดหลักกฏหมายที่สำคัญยิ่งกว่ากฏหมายรัฐธรรมนูญเสียอีก กฏหมายนี้คือ"ศีลห้า"
ทุกคนต่างมีศีลห้าข้อในหัวใจ ทำให้การบริหารบ้านเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญที่ยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็ไม่ทำให้เกิดปัญหาอะไร
นักการเมืองทุกคนในพ.ศ.2600 ต่างภูมิใจในหน้าที่ของตน ไม่ว่าจะได้เป็นฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายค้าน เพราะต่างคนต่างก็มองว่าเป็นหน้าที่ที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน
เทียบง่ายๆเหมือนกับประเทศไทยคือโรงพยาบาล เรามีหมอคือฝ่ายรัฐบาล และเรามีฝ่ายค้านคือเภสัชกร
หมอทำหน้าที่ตรวจ รักษา และจ่ายยา แต่เภสัชกรคือฝ่ายค้านก็คอยตรวจสอบอีกทีหนึ่ง เพราะบางครั้งหมออาจสั่งจ่ายยาผิดพลาดได้ ฉะนั้นทั้งหมอและเภสัชกรก็สำคัญเท่าๆกัน
ณ เวลานี้ ข้าพเจ้ามีความสุขมากที่ในที่สุดการเมืองไทยก็พัฒนาสักที
อ้อ! ส่วนเรื่องของการ"ปฏิวัติรัฐประหาร"ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ประเทศเราไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารมานานมากแล้ว และคงจะไม่มีอีกต่อไป
เด็กๆในยุคนี้แทบไม่รู้จักคำว่า"ปฏิวัติรัฐประหาร"ว่ามันคืออะไรด้วยซ้ำ
อย่างวันก่อนข้าพเจ้านั่งอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ได้ยินเด็กคนหนึ่งถามพ่อว่า"การปฏิวัติรัฐประหาร"คืออะไร
ข้าพเจ้าก็รอฟังว่าพ่อของเด็กจะตอบว่าอย่างไร
ปรากฏว่าพ่อของเด็กคนนี้กลับไม่ตอบคำถามของลูกตัวเอง แต่กลับสอนสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น พ่อของเด็กคนนี้พูดว่า.............
"ลูกอยากรู้อะไร ลูกก็ใช้กูเกิลค้นหาคำตอบเองสิ ลูกต้องหัดใช้ให้เป็นนะ ผู้บริหารเก่งๆเขาก็ใช้กูเกิลกันทั้งนั้น"
ช่างเป็นคำสอนที่ยิ่งใหญ่จนข้าพเจ้าแทบน้ำตาไหล😌
"มนุษย์เขียน"
โฆษณา