6 ต.ค. 2019 เวลา 12:55 • บันเทิง
Re-post เรื่องสั้น : อวิชชา
ตุ๊บ! เสียงวัตถุของแข็งกระทบกันอย่างแรง
ร่างของ "มณี" ค่อยๆ ทรุดลงกองกับพื้น ข้างตู้เก็บหนังสือขนาดใหญ่ ที่ตอนนี้มีรอยเลือดเปื้อนเป็นทางยาว เธอนอนแน่นิ่งข้างกองหนังสือที่กระจัดกระจาย ข้างๆ มีชายวัยกลางคนยืนตัวสั่นเทา หายใจถี่เหมือนคนกำลังจะกลั้นใจตาย มือที่กำแน่นทั้งสองข้าง กำลังสั่นด้วยความกลัวความโกรธและความเสียใจระคนกัน
เจ็ดนาทีก่อนหน้า
"วินัย" คว้าตัวมณีมาด้วยมือที่หนาแข็งทั้งสองข้าง เค้าตะวาดใส่เธอราวกับต้องการจะขับไล่ปีศาจร้ายที่คล้ายจะสิงสู่ในตัวเธอออกไป แต่มณีปัดป้องแสดงอาการกรีดร้องด้วยความกลัว เธอไม่กล้าแม้สบตาชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยซ้ำ ทั้งคู่กอดรัดปัดป้องกันอยู่ซักพักใหญ่ จนวินัยพลั้งมือผลักมณีไปด้านหลังเต็มแรง
.
.
.
.
ขณะที่ยืนมองร่างที่แน่นิ่งของเธอ วินัยเหลือบไปเห็นสมุดบันทึกสีเทา ดูเก่าคร่ำคร่า มีที่ขั้นสีขาวกั้นไว้ตรงกลางเล่ม เค้าไม่เคยสังเกตุเห็นมันมาก่อนเลย
วินัยทรุดตัวลงอย่างไร้เรี่ยวแรง เมื่อหยิบสมุดบันทึกนั่นมาอ่านพร้อมน้ำตาที่ไหลรินราวกับชีวิตและลมหายใจกำลังจะสูญสิ้น แต่ต้องยิ่งเจ็บปวดเมื่อความจริงที่ได้พบกลับเจ็บปวดแสนสาหัสกว่า "ความตาย" เสียอีก
วินัยพลิกเปิดอ่านบันทึกอย่างช้าๆ ทีละหน้า เป็นเรื่องราวที่มณีเขียนไว้สมัยที่เค้าและมณีพบเจอกันในวัยเด็ก จากหมู่บ้านชายขอบที่ใกล้โพ้น เรื่องราวความผูกพันของทั้งสองถูกจดไว้อย่างละเอียดละออมาตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา
วินัย ลดบันทึกในมือลง มองร่างของมณีพร้อมตาแดงก่ำ ที่ยังไม่มีวี่แววของน้ำตาที่จะหยุดไหล
เค้าเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ภาพยามวัยรุ่นกำลังฉายเป็นเรื่องราวอีกครั้ง เป็นภาพเค้าวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ หนึ่งในนั้นมีมณีสาวรุ่นที่น่ารักที่สุดในหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย
เค้าจำภาพที่พามณีไปนั่งเล่นที่ชายทุ่ง วิ่งไล่จับแมลงปออย่างสนุกสนาน รวมถึงภาพมณีร้องไห้ตอนที่พ่อคว้าแขนเธอไว้ลากออกไป พร้อมทั้งกล่าวเสียงกร้าวดังว่า
"ไอ้วินัย! เอ็งอย่ามายุ่งกับลูกกูอีกเด็ดขาด ไม่งั้นมึงได้เลือดอาบแน่ มึงจำไว้!"
ภาพมณีถูกฉุดกระชากลากไป พร้อมโดนพ่อเอาไม้เรียวหวดไปตลอดทางเป็นสิ่งที่เค้าจำได้ไม่ลืม แต่วินัยก็ไม่ท้อ คอยแอบแวะเวียนไปหามณีตลอด ทั้งตอนงานวัด เวลาไปเกี่ยวข้าว หรือตอนที่พ่อมณีเผลอ แต่มณีก็มีท่าทีเปลี่ยนไป วินัยคิดว่าคงเป็นเพราะพ่อที่คอยเป่าหูมณีอยู่ตลอดเป็นแน่ วินัยจึงเพียรทำดีต่อมาตลอด แต่ก็ไม่ได้ทำให้มณีมีท่าทีที่จะสนใจเค้าเหมือนก่อน
วินัยจึงไปปรึกษา "สมปอง" เพื่อนเกลออีกคน ซึ่งสมปองเองก็ญาติห่างๆและเป็นลูกศิษย์เอกของ "ลุงคม" พ่อของมณี สมปองได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคม มนต์ดำ วิชาต้องห้ามต่างๆ ซึ่งลุงคมผู้เป็นหมอผีประจำหมู่บ้านได้ถ่ายทอดไว้ให้ เพราะหวังจะให้วิชาที่ร่ำเรียนมาได้มีผู้สืบทอด เพราะลูกเพียงคนเดียวของแกดันเกิดมาเป็นหญิง จึงทำได้เพียงส่งต่อให้ญาติห่างๆ ของแกเท่านั้น แต่วิชาที่เป็นเอกอุของลุงคมกลับเป็นวิชาพยากรณ์ทำนายดวงชะตา ซึ่งเป็นวิชาเดียวที่แกไม่เคยสอนให้สมปอง วินัยจำได้ลางๆว่าสมปองบอกว่า
"ลุงคมแกหวง"
วินัยสอบถามถึงหนทางจะทำให้มณีกลับมามีใจให้ตนกับสมปอง
"ไอ้ปอง เอ็งมีของอะไรจะทำให้มณีกลับมารักข้าเหมือนก่อนได้มั้ยว่ะ กูพยายามเจียนบ้าแล้ว มณีไม่สนใจกูซักนิด กูจะทนไม่ไหวแล้วไอ้เกลอ ถ้าสำเร็จ กูจะพามณีหนีไปเมืองกรุงด้วยกัน หนีให้ไกลจากที่นี่ ให้ไกลจากลุงคม"
สมปองแนะนำตามวิชาที่ร่ำเรียนมา แต่จะให้ใช้น้ำมันพรายหรือฝังรูปฝังรอยก็ยากเกินกว่าเด็กหนุ่มอย่างเค้าจะทำได้ในวัยนี้ สมปองจึงเสนอให้ทำของพวกยาเสน่ห์ให้มณีแทน เพราะเป็นอะไรที่ไม่ยากแต่ได้ผลชะงัดนัก
"ไอ้นัย มึงลองให้มณีกินผงลูกสวาทสิมึง กูว่าได้เรื่องแน่ กูจำวิธีได้"
....ผ่านไปหลายอาทิตย์ คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด วินัยโยนหินไปที่หน้าต่างห้องมณี เสียงหินกระทบบานหน้าต่างไม้ ทำเอามณีที่กำลังนั่งพับผ้าสะดุ้งเฮือกจากความเงียบ เธอเปิดหน้าต่างออกเห็นวินัยยืนอยู่ไหวๆในความมืด เพราะไฟฉายอันเล็กไฟสลัวในมือที่กำลังแกว่งไปมา ไม่ทันได้เอ่ยความอะไร มีห่อผ้าสีขาวโยนเข้ามาทางหน้าต่าง หล่นตุ๊บลงบนกองผ้าที่พับไว้อย่างดี
มณีแก้ห่อผ้าออกเห็นเป็นขนมหวานหลายชนิด และมีกระดาษยู่ยี่ปนมาอยู่ในนั้นด้วย เธอรีบคลี่ออกดู
[มณีของพี่ พี่เอาขนมมาฝาก ถ้าเอ็งยังมีใจให้พี่บ้างก็กินซะอย่าให้เสียน้ำใจ พี่จะหนีไปเมืองกรุงแล้ว ถ้าเอ็งยังรักพี่ ยอมไปกับพี่ พี่จะดูแลเอ็งไปจนนาทีสุดท้ายของชีวิตพี่ พี่จะรออยู่ทั้งคืนที่เดิมของเรา ถ้ารักพี่ ขอให้เอ็งรีบมา]
วินัยที่ตาแดงก่ำราวกับเลือดไหลออกจากตาทั้งสอง ตอนนี้รีบพลิกกระดาษของสมุดบันทึกย้อนไปถึงวันเก่าๆในช่วงที่มณีบันทึกไว้ตั้งแต่สมัยก่อนจะหนีมาอยู่กับเค้าที่กรุงเทพ มีหน้าหนึ่งที่เค้าต้องสะดุดและไล่อ่านไปทีละตัวอักษร
[พี่วินัย มณีจะทำไงได้ ใจมันรักพี่ แต่พ่อกำชับนักหนาว่าอย่าไปพบพี่อีก อย่าไปมีใจให้พี่ พ่อบอกว่าดวงพี่กับน้องอยู่ด้วยกันไม่ได้ จะตายโหงกันทั้งคู่......]
วินัยหันไปมองร่างที่แน่นิ่งที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง พร้อมตะโกนร้องด้วยความเจ็บปวด แต่ไม่มีเสียงใดๆออกมาจากลำคอ มีเพียงเสียงลมแหลมเล็กที่แผ่วเบา ตามด้วยเสียงสะอื้นไห้เท่านั้นที่ออกมาจากชายที่นั่งจมกองน้ำตาเพียงลำพังกับร่างที่นอนนิ่งไม่ไหวติง
ก่อนหน้านี้ เจ็ดวัน..
วินัยจดเบอร์จากโทรศัพท์มือถือของมณี แล้วออกเดินทางไปพบนักสืบเอกชน เพราะเค้าสังเกตุว่ามณีออกไปนอกบ้านถี่ขึ้น และไม่ยอมบอกว่าจะไปไหน พยายามบ่ายเบี่ยงเสมอเมื่อเค้าถาม มีเบอร์แปลกๆที่โทรมาบ่อยๆในช่วงหลังๆ ที่มณีต้องแอบออกไปคุยนอกห้องเสมอ มณีเริ่มเปลี่ยนไปอีกแล้ว เธอไม่ยอมให้เค้ามีอะไรด้วยมาสองสามเดือนแล้ว วินัยสงสัย....
ก่อนหน้านี้ เจ็ดชั่วโมง...
วินัยบึ่งรถไปจนถึงบ้านไม้เก่าแถวย่านริมทางรถไฟ เลยเขตลาดกระบังออกไปอีกเล็กน้อย เค้าก้าวออกจากรถ เดินขึ้นไปพร้อมกระดาษบอกรายละเอียดข้อมูลต่างๆที่นักสืบเอกชนนำมาส่งให้เมื่อวานเย็น เค้ารู้แล้วว่าคนที่อยู่บนบ้านและเจ้าของเบอร์นั้นคือใคร... ภาพความทรงจำตอนวัยรุ่นกลับมาแวบหนึ่งก่อนเค้าจะรีบวิ่งขึ้นไปบนบ้าน
"ไอ้นัย กูก็รักมณีเหมือนมึงนั่นล่ะ"
วินัยเดินลงมาจากบ้านไม้หลังนั้น สภาพมีเลือดเปื้อนไปทั่วตัวและมือทั้งสองข้าง เสื้อเชิ้ตสีขาวลายทางที่ใส่อยู่ตอนนี้มีจุดเลือดสีแดงกระจายอยู่ทั่ว
สมปองนอนจมกองเลือดอยู่หน้าเครื่องรางของขลัง และรูปปั้นน่ากลัวที่เรียงรายอยู่ด้านหลัง มีขันน้ำมนต์ทองเหลืองขนาดใหญ่มีเลือดติดอยู่ทั่วกลิ้งอยู่ข้างๆ
วินัยรีบขับรถกลับมาที่บ้านที่เค้าสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรง เพื่อเป็นเรือนหอให้มณี หญิงสาวที่เค้ารักยิ่งกว่าสิ่งใด ตั้งแต่ผ่อนบ้านส่งรถ เค้าต้องขยันทำงานเช้ายันค่ำ ข้าวเช้าข้าวเย็นแทบไม่เคยได้กินร่วมโต๊ะกับมณีด้วยซ้ำ จะได้คุยกันก็แค่สองสามคำก่อนนอน
"วันนี้เหนื่อยใช่มั้ยจ๊ะพี่ พักผ่อนนะ.."
ตั้งแต่เค้ากับมณีมาอยู่เมืองหลวง วินัยตั้งใจทำมาหากินสร้างเนื้อสร้างตัว จนมีบริษัทเล็กๆ เป็นของตนเอง ทำงานหนักขึ้น หนักขึ้น และหนักขึ้น สังคมกว้างขึ้น สังสรรค์มากขึ้น และเมากลับบ้านบ่อยขึ้น มณีเริ่มกังวลกับสภาพของวินัยช่วงหลังๆ เป็นอย่างมาก เพราะรอบดวงตาที่หมองคล้ำ เส้นเลือดฝอยในตาแดงก่ำ และอารมณ์ฉุนเฉียวเวลาเธอซักถามเรื่องที่ทำงาน จนเธอกังวลวินัยกำลังถูกสิ่งชั่วร้ายครอบงำ ส่วนวินัยเองก็สงสัยว่ามณีเริ่มเปลี่ยนไป ห่างเหินและเก็บตัว ไม่ค่อยสวมกอดเค้าก่อนนอนอีกแล้ว บางคืนมีสะอื้นร้องไห้เป็นบางครั้ง
"หรือของจะเสื่อม.....หรือมณีโดนของ!" เขาคิด
[08978xxxxx พี่ปอง]
สมุดบันทึกหน้าที่ถูกขั้นไว้ด้วยเชือกสีขาว มีเบอร์โทรศัพท์ถูกจดไว้ด้วยดินสอแบบลวกๆ พลิกไปอีกหน้าพบข้อความที่มณีจดไว้ด้วยตัวหนังสือแบบไม่เป็นระเบียบเหมือนที่ผ่านตามา คล้ายเขียนด้วยความรีบเร่งและในอารมณ์ไม่ปกติ
[พี่ปองบอกว่าพ่อกำลังป่วยหนัก อยากให้กลับไปเจอหน้าก่อนพ่อจะตาย น้องจะทำไงดี อยากไปหาพ่อเหลือเกิน แต่พี่วินัยคงโกรธมากถ้าบอกเรื่องนี้ และเรื่องนั้น......]
น้ำตาวินัยเริ่มเหือดแห้ง กลายเป็นใบหน้าถอดสีด้วยความตกใจ เค้าพลิกบันทึกกลับไปมาหลายรอบ จนถึงเจอบันทึกในคืนวันที่เค้าเอาขนมห่อนั้น ขนมที่ใส่ผงลูกสวาท วิชาชั้นต่ำที่ทำเพราะความเขลา
[พี่จ๋า ทำไมพี่ต้องทำถึงขนาดนี้ น้องรู้หมดแล้วเรื่องขนม พี่ปองมาบอกน้องให้รู้แล้วว่าอย่ากินมัน น้องรู้ดีว่าพี่ทำเพราะรัก แล้วตอนนี้น้องก็เชื่อแล้วว่าพี่รักน้องมากขนาดไหน ถึงยอมทำถึงขนาดนี้ น้องรู้พ่อเคยสอนเรื่องพวกนี้ให้น้องเพื่อให้ระวังตัว น้องรู้ว่าลูกสวาทเค้าทำกันยังไง โถ..พี่วินัย น้องขอโทษ น้องคงปล่อยให้พี่ถลำลึกไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว]
วินัยตกใจที่เพิ่งรู้ว่าไม่เคยมีอวิชชาใดๆทั้งสิ้นในยามนั้นและยามนี้ เค้าเองทั้งนั้นที่เข้าใจผิดมาตลอด เค้าเองที่งมงายว่าเพราะสิ่งต่ำช้าเหล่านั้นที่ส่งผลให้เค้ามีวันนี้ เพราะมันจึงทำให้มณียอมตามเค้ามาไกลถึงเมืองกรุง จากบ้านจากพ่อมา แต่ทั้งๆที่ความจริงแล้วคือ "รักแท้" ต่างหาก วินัยน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง หันไปหาร่างที่แน่นิ่งตรงหน้า เอามือที่กำลังสั่นเทาเปื้อนไปด้วยน้ำตา ลูบหัวของมณีเบาๆเหมือนสมัยที่นั่งเล่นกันที่กลางทุ่งนาเขียวขจี เธอยังสวยเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
ลมพัดจากหน้าต่างเข้ามาวูบ พัดเอาหน้ากระดาษของสมุดบันทึกปลิวไปถึงหน้าสุดท้ายที่เขียนไว้ มีข้อความสั้นๆตัวเล็กจิ๋วเขียนไว้ วินัยหยิบขึ้นมาอ่านอีกครั้ง
[พี่วินัยจ๋า น้องคงต้องบอกเรื่องนั้น เรื่องลูกของเราในท้อง เค้าอายุสี่เดือนแล้วนะ น้องกลัวเหลือเกินว่าเรื่องนี้จะทำให้พี่ต้องเหนื่อยและทำงานหนักกว่าเดิม น้องสงสารพี่จับใจ แต่คงต้องบอกเพื่อหวังว่าพี่จะเข้าใจ ให้ตาได้เจอหลานสักครั้งก็ยังดี รักพี่มาก ถ้าพี่ไม่ยอม น้องคงจะให้พี่ปองพาไปเจอพ่อ แค่ซักครั้งก่อนจะจากกันไปตลอดกาล แค่ครั้งเดียวเท่านั้น....]
วินัยเหมือนถูกฟ้าผ่าลงกลางตัว มือไม้หมดเรี่ยวแรง สมุดบันทึกหล่นลงคว่ำหน้ากับพื้นบ้าน เค้าทรุดตัวลงข้างๆร่างของมณี ตะโกนร้องราวกับคนบ้าอีกครั้ง ทั้งน้ำมูกน้ำตาน้ำลายปนแปราวกับคนสิ้นสติ เค้าไม่เหลืออะไรอีกแล้วในชีวิตนี้ นี่เค้าทำอะไรลงไป....ทำอะไรลงไป
วินัยยื่นมือเข้าไปที่ลิ้นชักข้างโต๊ะหัวเตียง ล้วงเข้าไปในสุดใต้กล่องเก็บของที่วางทับไว้ ปืนพกขนาดเล็กถูกหยิบออกมา มันถูกขึ้นลำในทันทีและปากกระบอกจี้ไปที่ใต้คาง
เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งครั้ง มีเพียงความเงียบที่หลงเหลือไว้ และร่างชายอีกคนที่กำลังร่วงลงกองกับพื้น ในห้องนอนสีส้มอ่อนสีสดใส ตอนนี้ได้ยินเพียงเสียงลมพัดต้นไม้ข้างหน้าต่างดังหวีดหวิว ลมพัดเข้ามาในห้องหมุนวนและวนกลับออกไปทางเดิม ทุกสิ่งนิ่งสนิทอยู่นานราวชั่วนิรันด์ พลันมีการเคลื่อนไหวบางอย่างเกิดขึ้น นิ้วนางข้างซ้ายที่มีแหวนแต่งงานเป็นเพชรรูปหยดน้ำอันเล็กๆ มูลค่าไม่มากมายแต่มีความหมายทางจิตใจ มันกำลังขยับ ร่างของมณีเริ่มขยับทีละน้อย เธอครางด้วยความเจ็บปวดและสับสนในลำคอเบาๆ เธอคงได้สติเพราะเสียงดังก่อนหน้าเมื่อสักครู่นี้ เสียงเหมือนมีใครเรียกชื่อเธอดังลั่น
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่บ้านในชนบทของเธอ ญาติพี่น้องต่างพากันร้องไห้กอดร่างที่ไร้ลมหายใจของลุงคม ที่นอนกอดรูปมณีที่เหลืออยู่ใบสุดท้ายไว้แนบอก และจากไปอย่างสงบเมื่อครู่นี้เอง
ชีวิตสามชีวิตจบไปในวันเดียว ชีวิตอีกชีวิตกำลังจะถือกำเนิดในอนาคต.............ในวันที่ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ลูกสวาทมีลักษณะมีหนามแข็งรูปตะขออยู่โดยรอบเปลือก ตำราว่าไว้ ให้กลืนลงไปทั้งเปลือกโดยไม่เคี้ยว..............
โฆษณา