7 ต.ค. 2019 เวลา 11:00 • ธุรกิจ
เรื่องของเสี่ยกำมะลอจะเล็กไปเลยหากรู้ว่าธุรกิจรายใหญ่หรือรัฐบาลใหญ่ๆในโลกนี้ต่างก็เคยใช้วิธีนี้
ที่มา: istockphoto.com
จากข่าวเสียกำมะลออ้างตัวว่ารวยเป็นหมื่นล้านบาทเพื่อหลอกสาวๆและหลอกเอาเงินคนอื่นนั้น แม้ว่าจะดูเป็นเรื่องที่ร้ายแรงต่อสังคมซึ่งส่งกระทบร้ายแรงผลต่อคนจำนวนหนึ่ง แต่ทว่าในระดับประเทศหรือระดับโลกกลับมีการใช้วิธีนี้เช่นกันและส่งผลต่อผู้คนมหาศาลทั้งจำนวนคนและมูลค่าที่เป็นเงิน
“ยุคไม่การตลาดของไทย” จึงได้ค้นหาข้อมูลมาเพื่อเป็นกรณีศึกษาให้เราไม่หลงเชื่ออะไรง่ายๆ ที่จะทำให้เราสูญเสียทั้งทรัพย์สินทั้งโอกาสอีกมากมาย ในทุกวันนี้การเสพสื่อทำให้เราพลั้งเผลอไปตามที่ผู้ที่นำเสนอต้องการ
ที่มา: Sanook.com
ถ้าหากจะยกตัวอย่างกรณีที่เกิดขึ้นไม่นานในประเทศไทยคือ กรณีของบริษัท เมจิกสกิน จำกัด ตามข่าว “เมจิกสกิน อวดอ้างเกินจริงกินแล้วสวย “รับทรัพย์จนรวย” ขนาดไหนก่อนเกิดข่าวฉาว” ที่พบว่าเป็นสินค้าที่หลอกลวงผู้บริโภค มีสรรพคุณไม่เป็นไปอย่างที่กล่าวอ้าง และมีดาราชื่อดังและเน็ตไอดอลเรียกรับข้อกล่าวหากรณีรีวิวสินค้าเครือเมจิกสกิน (ที่มา: Sanook.com 12 มิ.ย. 62 (16:57 น.)
อีกเรื่องที่เป็นมหากาพระดับโลกคือเรื่องของ ปิโตรดอลล่าร์ ที่เกิดจากตัวแทนรัฐบาลสหรัฐและกลุ่มทุนอเมริกัน ทำการเจรจาลับ (ตอนนี้ไม่ลับแล้ว) กับราชวงศ์ซาอุฯที่เอื้อประโยชน์ระหว่างกัน ด้วยการทำข้อตกลงซื้อขายน้ำมันให้กับสหรัฐหรือชาติอื่นๆในรูปแบบเงินดอลล่าร์สหรัฐเท่านั้น (ที่มา: ข่าวหุ้นธุรกิจ 7 ตุลาคม 2562)
ที่มา: ข่าวหุ้นธุรกิจ 7 ตุลาคม 2562
ผลที่ตามมาคือทุกชาติในโลกต้องซื้อขายพลังงานต้องซื้อผ่านสกุลเงินดอลลาร์ จึงจำเป็นต้องมีเงินดอลล่าร์เป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ทำให้เฟดสามารถชี้ชะตาเศรษฐกิจโลกได้ผ่านการควบคุมปริมาณเงินดอลล่าร์ในตลาดโลก
ที่มา: FINNOMENA.COM
เรื่องสุดท้ายคือเรื่อง “MADOFF ย้อนตำนานฉ้อโกงสุดฉาว แชร์ลูกโซ่โลกไม่ลืม” ชายคนนี้ใช้ชื่อเสียงที่มีภาพลักษณ์น่าเชื่อถือ หลอกลูกค้ามาลงทุนกับเขาด้วยการการันตีผลตอบแทน ด้วยการมีหัวการค้า (แต่ใช้ไปเพื่อก่อประโยชน์ส่วนตน) เขายังสามารถทำให้ลูกค้าเชื่อได้ว่าได้รับผลตอบแทนแน่นนอนในการลงทุนกับเขาแม้ว่าตลาดจะผันผวนไปอย่างไรก็ตาม
ลูกค้าเขาหลายคนเป็นคนมีชื่อเสียงระดับโลกยกตัวอย่างเช่น Steven Spielberg, Kevin Bacon, Kyra Sedgwick และเหล่าดาราคนดังมากมายล้วนแล้วแต่ตกเป็นเหยื่อเขา ยังมีองค์กรที่ไม่หวังผลกำไร (มูลนิธิ) ที่เข้ามาเป็นเหยื่อด้วย
ที่อ่านแล้วยังอึ้งเลยว่ามีรายชื่อของธนาคารและสถาบันการเงินขนาดใหญ่ อาทิ กลุ่ม UBS Union Bancaire Privée และ Bénédict Hentsch ซึ่งธนาคารเหล่านี้ตั้งอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ยังมี Santander ของสเปน HSBC ของอังกฤษ และ Royal Bank of Scotland รวมถึงกองทุน Hedge Fund กองทุน Fairfield Sentry กองทุนบริหาร Fairfield Greenwich Group ของ Walter Noel ด้วย
รายชื่อเหล่านี้เราก็มองว่าน่าจะเป็นผู้ที่คิดอะไรรอบครอบรัดกุม มีที่ปรึกษาที่เก่งๆมาช่วยมากมาย เพราะเงินที่ลงทุนไม่ใช่จำนวนน้อยๆเลย แต่ก็ยังถูกหลอกให้ลงทุนจนได้
ที่ไม่น่าเชื่อไปอีกคือมีการดำเนินงานไปกว่า 20 ปี และจะดำเนินต่อไปได้อีกหลายปีเลยถ้าไม่เกิดวิกฤตซัมไพรม์ปี 2008 ที่เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำ ที่ผู้ลงทุนต่างขอเงินลงทุนคืน ในวันที่ 10 ธันวาคม ปี 2008 ทุกอย่างก็ถูกเปิดเผยและสุดท้ายเขาก็ถูกจับกุม
สิ่งที่เหมือนกันของผู้ที่ลงมือทำการอันหลอกลวงไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่เขาหรือกลุ่มคนเหล่านั้นมีมันสมองที่เชี่ยวชาญที่สามารถวางแผนการได้อย่างเป็นอัตโนมัติอย่างรัดกุมยากที่จะเห็นช่องโหว่ เมื่อได้โอกาสก็จะรีบฉวยมันไว้ในทันที และไม่ล้มเลิกง่ายๆจนกว่าจะได้เป้าหมายที่วางไว้
เขาเหล่านี้สามารถทำให้คนเชื่อได้อย่างไร “ยุคใหม่การตลาดของไทย” ขอสรุปเป็นหัวข้อดังนี้
1. ทำตัวให้น่าเชื่อถือ ด้วยการสร้างรูปลักษณ์ภายนอกให้ดูดี มีการนำทรัพย์สินมีค่ามาประกอบในสื่อต่างๆ
2. มีทักษะในการสังเกตและการมองหาโอกาสสูง
3. เข้าใจความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง จากการศึกษาหาข้อมูลจากการลงมือทำอย่างเข้มข้น
4. รู้ว่าการตัดสินใจเกือบทั้งหมดมาจากอารมณ์ที่ใช้สมองส่วนขวา จึงมุ่งการโน้มน้าวให้สอดคล้องกับการตอบสนองด้านอารมณ์ ที่คนทุกคนอยากได้คือ อำนาจ เงินและการยอมรับของสังคม
5. สืบเนื่องกับข้อ 4 คือ เล่นกับกิเลสมนุษย์โดยเฉพาะเรื่องความโลภ
เมื่อเรารู้แล้วว่ายังไงคนที่หลอกลวงต้องมาในรูปแบบข้างต้นนี้แน่นอนแต่บางคนก็ยังถูกหลอก อาจจะมาร้องเพลงฮิตในอดีต “รู้เขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก” ก็ได้ แต่เชื่อว่าคงไม่ได้ตั้งใจให้หลอกหรอก เพียงแต่บางครั้งก็อยากร้องเพลง “รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง” แทนบ้าง
บางคนอาจจะมีข้อสงสัยว่าถ้าเราไม่ทำอะไรเลยแล้วเราจะมีรายได้ได้อย่างไร? ถูกต้องแล้วครับกับคำถามนี้ ยังไงก็ต้องทำเพียงแต่เราต้องเพิ่มการตรวจสอบการพิจารณาโดยไม่มีอคติ การหาข้อมูลมาประกอบร่วมด้วย
เหตุการณ์ทำให้ “ยุคใหม่การตลาดของไทย” นึกถึงเรื่อง กาลามสูตร ที่เป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่
๑.อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
๒.อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
๓.อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
๔.อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
๕.อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
๖.อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
๗.อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
๘.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
๙.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
๑๐.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
ที่มา: http://www.klonthaiclub.com/index.php?topic=17145.0;wap2
บางครั้งเราอาจติดกับดักที่ว่าไม่เชื่ออะไรง่ายๆเพราะเราตั้งกำแพงไว้หรือจะเรียกว่าเอาตัวอยู่ในเขตสบายใจ (Comfort Zone) ก็ได้ แต่หากเราจะเชื่อด้วยปัญญาพิจารณาจะเป็นการดีกว่าไหม?
"เชื่อง่ายไม่ได้แปลว่าโง่ เชื่อยากก็ไม่ได้แปลว่าฉลาด"
FB Page: Thailand Modern Marketing
ข้อมูลมุมมองการตลาดที่ทันสมัยจากประสบการณ์จริง อ่านได้ใน Blockdit ยุคใหม่การตลาดของไทย
หากชื่นชอบและถูกใจบทความนี้ ฝากกด Like กด Share และติดตามเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะครับ
โฆษณา