7 ต.ค. 2019 เวลา 23:30 • กีฬา
ตารางคะแนนยาว 8 แต้ม
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าที่เคยพูดๆกันว่าลิเวอร์พูลเคยนำแมนฯ ซิตี้ 10 แต้มแล้วโดนแซง นั่นมันไม่เคยเกิดขึ้นนะครับเมื่อฤดูกาลที่แล้ว
จริงๆมันก็เคยเกิดขึ้นแหละ แต่มันเป็นช่วงที่ทิ้งห่าง 10 แต้มแบบไม่เป็นทางการ นั่นเพราะว่าลิเวอร์พูลแข่งก่อน 1 นัดแล้วนำ 10 แต้ม ถ้าหากวัดจำนวนนัดอย่างเป็นทางการแบบเตะเท่ากันหลังจบแต่ละสัปดาห์ บอกเลยว่าลิเวอร์พูลเคยทิ้งห่างแมนฯ ซิตี้มากที่สุดแค่ 7 แต้มเท่านั้น
ย้ำว่า 7 แต้มเท่านั้น!!
เพราะช่วงนัดที่ 20 เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ลิเวอร์พูลเปิดบ้านถล่มอาร์เซน่อล 5-1 ทำให้มีเพิ่มเป็น 54 คะแนน นำแมนฯ ซิตี้ ที่แข่ง 19 นัด 44 คะแนน ซึ่งลิเวอร์พูลแข่งก่อน
ภาพประกอบ
นำ 10 แต้มก็จริง แต่แข่งมากกว่า 1 นัด
ถ้าใครที่บอกว่าลิเวอร์พูลเคยนำแมนฯ ซิตี้ 10 แต้มนั้น มันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเมกเซ้นส์เท่าไหร่
เพราะทีมนำกับทีมตาม ปกติเขาจะวัดที่จำนวนนัดเท่ากันถึงจะเอามาตัดสินได้ ยิ่งถ้าหากเป็นทีมใหญ่ๆ ให้ตัดโปรแกรมที่แข่งน้อยกว่าแล้วบวกเพิ่มเป็น 3 คะแนนไปเลย
สรุปแล้วก็คือเมื่อฤดูกาลที่แล้วลิเวอร์พูลเคยทิ้งห่างแมนฯ ซิตี้มากสุดแค่ 7 แต้มเท่านั้นเมื่อแข่งเท่ากัน นี่คือจำนวนคะแนนที่มากที่สุดอย่างเป็นทางการที่จะตัดสินได้
สำหรับฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูลทิ้งห่างไปแล้ว 8 เมตร เอ๊ยยย 8 คะแนน จากการลงเล่นเพียง 8 นัดแรกของฤดูกาล
สถานการณ์ของลิเวอร์พูลเป็นใจสุดๆ เกือบเสมอ แต่ดันได้ 3 คะแนนกับเลสเตอร์ ซิตี้ ส่วนแมนฯ ซิตี้ ที่เกือบแช่งสำเร็จ กลับกลายเป็นแพ้คาบ้านซะอย่างนั้น
แต่ถ้ามองถึงรูปเกมแล้ว ลิเวอร์พูลใน 3 นัดในลีกหลังสุด เรียกได้กว่าเปลี่ยนจากผลเสมอให้เป็นชนะมาได้ทั้ง 3 นัด ไล่ตั้งแต่เชลซี,เชฟฟิลด์และเลสเตอร์
ส่วนแมนฯ ซิตี้ยิงวัตฟอร์ดมา 8-0 และบุกชนะเอฟเวอร์ตัน 3-1
ถ้าจะบอกว่าฟอร์มลิเวอร์พูลกับแมนฯ ซิตี้ใครที่น่าจะสะดุดมากกว่ากัน
ใครๆก็ต้องตอบว่าลิเวอร์พูล
เพราะฟอร์มช่วงหลังเบียดเหลือเกิน แนวรับก็เริ่มถูกเจาะได้ง่าย แนวรุกเมื่อเจอรับลึกก็ยิงไม่เข้า
แต่
แต่ลิเวอร์พูลเอาตัวรอดมาได้ทั้งหมด ส่วนแมนฯ ซิตี้ที่ยิง 11 ประตูใน 2 นัด กลับหัวคะมำคาบ้านแบบน่าอนาถ
ตราโอเลบุกยิงแมนฯ ซิตี้ 2-0
แมนฯ ซิตี้กระท่อนกระแท่นมาตั้งแต่ปีที่แล้วแล้วนะครับ เมื่อขาดเควิน เดอ บรอยน์ เพราะเมื่อช่วงท้ายฤดูกาลพวกเขาเบียดชนะเบิร์นลีย์แบบ Goal line
ใช้ดาวรุ่งอย่างโฟเด้นยิงสเปอร์ส 1-0
ใช้ลูกยิงไกลแบบผีจับยัดของกอมปานีชนะเลสเตอร์ 1-0
ทั้งหมดนี้มันดูเป็นชัยชนะที่ผิดธรรมชาติของทีมอย่างซิตี้
แต่สำหรับฤดูกาลนี้ ไอ้ชัยชนะที่ดูผิดธรรมชาติแบบนั้นดูเหมือนจะกลับกลายมาเป็นอยู่ฝั่งลิเวอร์พูลเรียบร้อย
ปีที่แล้วเจอร์เก้น คล็อปป์ ออกลูกประมาทไปหน่อย หากใครจำได้ หลังจากที่เสมอกับเลสเตอร์และเวสต์แฮม 2 นัดติดต่อกัน คล็อปป์ได้ให้สัมภาษณ์ว่า
"เรายังเหลืออีกหลายเกมให้ลงเล่น คุณคงบ้าไปแล้วหากคิดว่าเราจะมาเทหมดหน้าตักเพื่อแมตช์นี้แมตช์เดียว"
บุกเสมอเวสต์แฮม 1-1
จะบอกว่าคล็อปป์ก็ได้ให้สัมภาษณ์แบบเดียวกันอีกครั้งหลังจากที่บุกไปเสมอเอฟเวอร์ตัน 0-0 และแมตช์นั้นทำให้ลิเวอร์พูลต้องโดนแมนฯ ซิตี้แซงก่อนจะคว้าแชมป์ในบั้นปลาย
เรื่องนี้ผมก็มานั่งคิดทีหลังและรอเวลาว่าคล็อปป์จะคิดถูกหรือไม่ ที่ไม่ยอมทุ่มหมดหน้าตักในนัดที่บุกไปเสมอแมนฯ ยูไนเต็ดและเอฟเวอร์ตัน
สุดท้ายกลายเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด
ผิดพลาดเพราะใครจะไปคิดว่าแมนฯ ซิตี้มันจะชนะ 14 นัดรวดของท้ายฤดูกาล เพราะเจ้าตัวก็คงไม่คิดเหมือนกัน ผมก็ไม่คิดว่ามันจะชนะ 14 นัดรวดเหมือนกัน สุดท้ายลิเวอร์พูลพลาดแชมป์
เรื่องนี้ไม่มีใครพูดถึงมัน เพราะทุกคนหันไปสนใจนัดชิง UCL ที่กำลังจะมาถึงกันหมด
ภายหลังลิเวอร์พูลคว้าแชมป์จากการชนะสเปอร์ส 2-0
เรื่องนี้เจอร์เก้น คล็อปป์ รู้ตัวดีว่าเขาทำพลาดเอง วางหมากพลาดเอง นั่นเป็นเหตุผลที่เขาอยากจะแก้ตัวใหม่ เพราะเชื่อมั่นในผู้เล่นชุดนี้มากๆและไม่เสริมนักเตะบิ๊กเนมเข้ามา(จริงๆไม่มีตังค์) และรู้ว่านักเตะชุดนี้มีดีพอที่จะชนะแมนฯ ซิตี้ ในพรีเมียร์ลีกได้
สิ่งที่คล็อปป์เชื่อมั่นนั้น มันส่งผลให้เห็นแล้วว่า เมื่อทีมไม่ได้เสริมตัวผู้เล่นชุดใหญ่เข้ามาเลยแต่ทีมก็ยังนำหัวตารางแถมนำห่างถึง 8 คะแนนอีกด้วย
แต่นี่เป็นช่วงแค่เริ่มต้นเท่านั้น
นับเป็นเรื่องที่โชคดีมากๆ ที่บอสได้บทเรียนจากปีที่แล้วว่าเมื่อชะล่าใจแม้แต่นัดเดียว นั่นหมายถึงทีมพลาดแชมป์ได้เลย
บทเรียนลึกซึ้งที่แสนเจ็บปวดเมื่อปีที่แล้วมันยังติดอยู่ในหัว
มาปีนี้ดูเหมือนลิเวอร์พูลจะตีตัวออกห่างจากอันดับสองได้เหมือนเดิม แถมได้เพิ่มเป็น 8 คะแนนมากกว่าปีที่แล้วที่นำ 7 คะแนนอยู่
.
.
.
.
คะแนนก็ห่างมากขึ้นกว่าเดิม บทเรียนก็ได้มาแล้วเต็มๆ
หวังว่าปีนี้บอสจะเอาอยู่นะ
.
.
.
.
.
*ไม่ต้องไปกลัวว่าใครจะโดนปลดหลังจากแพ้ทีมเรา ยิงแม่งให้ยับเลย
#ปลายสตั๊ดสีแดง
โฆษณา