12 ต.ค. 2019 เวลา 16:08 • ความคิดเห็น
ความรู้สึกภายในใจที่มีต่อก้าวแรก
และ 101 ผู้ที่กด Followers
ขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่านเป็นอย่างสูงครับ
บทความนี้ผมขอเขียนยาวๆเลยนะครับ
เพราะนี้คือการบอกทุกสิ่งที่อยู่ในใจ
ระหว่างการเดินทางไปสู่ 101 ผู้ติดตามครับ
ผมขอบอกเลยว่าในชีวิตนี้ผมไม่เคยรู้จัก
Blockdit มาก่อนเลยด้วยซ้ำ
ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยเล่น Social Media เท่าไรนัก
แต่มีวันนึงผมนึกอยากเขียนบทความ
ส่วนใหญ่ความคิดแรกๆที่อยากจะเขียน
ก็จะเป็น ด้านหลักแนวคิด อุดมคติ
การเมือง ปรัชญา และ จิตวิทยาต่างๆ
ผมเลยตัดสินใจเขียน
บทความผมลงในเว็บไซต์
Medium แต่...
ไม่ได้รับผลตอบรับอะไรเลย
เพราะ สังคมใน Medium นั้นจะมีแต่
Coding Programming และ
บทความที่เป็นภาษาอังกฤษ
( แม้จะเขียนได้แต่ grammar ไม่แข็งพอ )
ผมเลยคิดที่จะไม่เขียนต่อใน Medium
ผมก็นั่งคิดว่าจะไปเขียนบทความที่ไหนดี
แม่ของผมที่เป็นคนเล่น Social Media มากๆ
ก็เสนอ Blockdit ขึ้นมา ที่จริงผมเคย
ได้ยินจากปากแม่ผมว่า Blockdit มีแต่ข้อมูลดีๆ
เป็นแอพสำหรับนักเขียนและนักอ่าน
ซึ่งตอนแรกผมไม่สนใจเลย แต่ก็มาสนใจตอน
ที่จะเริ่มเขียนบทความนี้แหละครับ
ผมก็เลยตัดสินใจเอาบทความที่เขียนใน Medium
มาใส่ใน Blockdit แล้วผลที่ได้คือ ( เสียงกลอง )
มีผลตอบรับบ้าง เห็นว่ามีคนมากดดู บทความบ้าง
ซึ่งมันทำให้ผมตกใจเป็นอย่างมากๆเพราะ
ผมเคยทำ Youtube และ เพจ Facebook มาก่อน
แต่ทำไปก็ไม่มีคนดูเลยแม้แต่นิดเดียว
ที่มีก็มีแต่คนรู้จักเพียงเท่านั้น ก็เลยล้มเลิกไป
การที่ได้รับผลตอบรับจากคนอื่นๆ คนแปลกหน้านั้น
ทำให้ผมดีใจ และ ตื่นเต้นเป็นอย่างมากๆเลยครับ
ในตอนแรกๆผมก็เขียน บทความที่จะค่อนข้าง
ไปทาง ปรัชญา, แนวคิด และ วิจารณ์
( ซึ่งที่จริงตอนนี้ก็เป็นอยู่แต่เริ่มผสมอย่างอื่น )
และจะค่อนข้างเขียนในแบบที่ดูเคร่งเครียด
ไม่มีเสียงเฮ ไม่มีเสียงฮา ไม่มีมุขตลกทั้งสิ้น
แต่มีอยู่วันนึงผมก็ตัดสินใจไปลองอ่าน
บทความของคนอื่นๆดูบ้าง
เพราะช่วงแรกๆผมจะเขียนอย่างเดียว
ไม่คิดที่จะอยากอ่านบทความคนอื่นเลย
พอผมอ่านบทความคนอื่นผมก็รู้สึกว่า
อยากจะคอมเมนต์บ้าง ( ติ้งๆๆๆๆๆ )
ผมก็เลยเขียนคอมเมนต์ยาวๆเลย
คอมเมนต์ผมแต่ละอันถ้าบทความ
ของผู้เขียนนั้นเกี่ยวกับหลักแนวคิด
การคบคิด หรือ หลักการอะไรก็ตาม
ผมจะคอมเมนต์ยาวเป็นพิเศษ
เพราะผมชอบที่จะแสดงความคิดเห็น
บางครั้งผมก็จะคอมเมนต์ ฮาๆ
เล่นมุขตลกๆฝืดๆบ้าง
เอารูปภาพมาตอบแทนบ้าง
( ส่วนใหญ่จะเห็นเป็น ปิกาจูอ้าปากค้าง )
ส่วนใหญ่ถ้าบทความไม่ซีเรียสมาก
หัวผมจะหาช่องทางเล่นมุขโดยทันที
หลังจากนั้นผมก็คิดกับตัวเองว่า
ทำไมเราไม่ลองเขียนบทความ
ให้เหมือนที่เราเขียนแนวๆ คอมเมนต์บ้าง?
ทำไมผมต้องพยายามทำบทความให้เครียดๆด้วย?
ผมก็เลยเขียนในแบบของตัวผมเองบ้าง
ผมปล่อยให้ไอเดียแปลกๆที่เข้ามาในหัว
มาลงในบทความบ้างแม้จะรู้ว่าบางอย่าง
คนบางคนจะไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำไป
การที่ผมทำอย่างนั้นแม้รู้ทั้งรู้ว่า
มันจะส่งผลเสียอย่างยิ่งในมุมมองผม
แต่ผมกลับมีความสุขมากๆ
มีความสุขที่ตลกตัวผมเองที่คิดอะไร
บ้าๆบอๆได้ผมหัวเราะทุกครั้งที่ผมเขียน
และผลที่ได้ก็คือ!!!
บางบทความนั้นได้ผลตอบรับดีมากๆ
สำหรับผมก็ถือว่ามันดีมากๆแล้ว
บางบทความนั้นก็แทบจะไม่มีคนดูเลย
มีก็มีแค่ขาประจำที่แวะมาอ่านทุกครั้ง
ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่า
บทความของผมมันจะได้คนดูเท่าไร
ผมเขียนเพราะผมมีไอเดีย
แล้วอยากเขียนมันออกมา
และผมเป็นคนที่มีเวลาว่างมากๆด้วย
ผมเลยใช้เวลาเขียนบทความนึง
เป็นชั่วโมง จนถึง สามชั่วโมง
การที่มีคนดูก็เป็นอีกปัจจัยนึงที่ผมอยู่เช่นกัน
อย่าไปเกี่ยงเลยว่าทำเพราะ แค่อยากเขียนอย่างเดียว
แต่ผมไม่ได้หวังว่าจะต้องมีคนมาอ่านบทความผม
พันคน หมื่นคน แสนคน หรือ ล้านๆๆๆๆคน
แค่เห็นว่าเกินหนึ่งสองสามคนก็ดีใจจะตายแล้ว
ถ้าไม่มีคนดูชะตากรรมผมก็คงย้ายเว็บ ย้ายที่
ไปเขียนที่ใหม่ แล้วเสี่ยงดวงใหม่เหมือนเดิม
แม้ในใจจะรู้ลึกๆว่า ต้องเขียนเป็นปีถึงจะมีคนอ่าน
อีกปัจจัยนึงที่มีคนเริ่มมาอ่านและเริ่มมีขาประจำคือ
การที่ผมได้ไปติดตาม และ คอมเมนต์ผู้อื่นเช่นกัน
แม้ผมจะไม่ได้คอมเมนต์ทุกวัน ไม่ได้อ่านบทความทุกคน
ไม่ได้กดไลค์ กดรัก กดหัวเราะ กดว้าว หรือ กดเศร้า ทุกวัน
แต่ถ้าผมมีเวลา และ มีพลังอยากจะหาอะไรอ่านผมทำทุก
อย่างที่เพิ่งบอกมาอย่างแน่นอนครับ
ผมทำเพราะผมอยากทำจริงๆ ไม่ได้แค่ติดตาม
หรือ คอมเมนต์ไปเพื่อหวังว่าเขาจะมา ติดตามกลับ
หรือ คอมเมนต์กลับแต่อย่างใด ผมแค่อยากจะหาอะไรอ่าน
และตอบกลับด้วยสิ่งที่ผมได้รับและมีความรู้สึกกับบทความนั้นๆ
ผมไม่ได้อยากพาดพิงคนอื่นที่ส่วนใหญ่มักจะหากลุ่มคนโดยการ
ติดตามมา ติดตามกลับ เมนต์มา เมนต์กลับ แต่อย่างใด
เพราะถ้าคนอื่นติดตามผม ผมก็ติดตามกลับด้วยเช่นกัน
ถ้าผมเห็นว่าบทความของเขาผู้นั้นเข้าตากรรมการ ผมก็ติดตามเลย
การมีสายสัมพันธ์ หรือ connection นั้นสำคัญอย่างเลี่ยงไม่ได้
คนเราส่วนใหญ่ถ้าเป็นงานก็คบกันด้วยผลประโยชน์
คบกันด้วยความน่าเชื่อถือ มิใช่ความเชื่อใจแต่อย่างใด
ดังนั้นผมเลยไม่อยากจะใช้วิธีนี้ในการเรียกคนมาอ่านเท่าไหร่นัก
ผมอยากให้บทความผมมันดีจริงๆจนคนอยากเข้ามาอ่านจริงๆ
ผมจะพยายามพัฒนาตนเองให้บทความมันดียิ่งขึ้น
ผมจะพยายามหาความรู้มาถ่ายทอดให้มาอ่านกัน
ผมไม่ได้หวังอะไรมาก ผมหวังแค่ผมได้เขียนอะไร
ที่ผมได้พบได้เจอ และ ได้สนใจมันมาบอกต่อกัน
ด้วยความที่ผมมีนิสัยชอบเล่าเรื่อง ( ชอบอวดอ่ะนะ 555 )
เลยทำให้ผมมีความสุขในเวลาที่ผมเขียน
หรือเล่าอะไรที่เราชอบ ที่เราสนใจให้ผู้อื่นได้อ่าน ได้ฟัง
ที่ผมตัดสินใจเขียนมากกว่าพูดเพราะว่า
เวลาผมเขียนผมจะคิดอะไรได้ลึกและหัวแล่นมากกว่า
การเขียนคือการที่เราตั้งมั่นกับสิ่งที่อยู่ในหัวแล้ว
เขียนมันออกมา ซึ่งมันต่างจากการพูดมาก
เวลาพูด คุณต้องมาห่วงหลายๆอย่างเช่น
น้ำเสียง คำศัพท์ ความคิดที่ต้องถูกคัดกรอง
ไม่ให้ผู้ฟังหนีเราไป มันใช้ความคิดหลายอย่างมากๆ
ต่างกับการเขียนที่เรามุ่งมั่นกับสิ่งที่เราสนใจ
เพียงอย่างเดียวแล้วไม่สนใจสิ่งอื่น
( อาจจะมีบางอย่างที่เขียนไม่ได้แต่มันก็
ถูกกรองน้อยกว่าการที่เราจะพูดออกมาเป็นเสียงมากกว่า )
พอผมเขียนมาได้สักพักผมก็ได้มีโอกาส
ไปเที่ยวสถานที่ต่างๆกับเพื่อนผม
ผมก็เลยคิดได้ว่า ลองเขียนท่องเที่ยวดีไหม?
ซึ่งมันหักล้างกับสิ่งที่ผมเขียนอยู่อย่างสิ้นเชิง
การตัดสินใจครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างมากเพราะ
บทความจากที่เขียน แนวคิด เพียงอย่างเดียว
ก็กลายเป็นการ ยำหลายๆสิ่งหลายๆอย่างแทน
เรียกง่ายๆก็คือ เพจผมจะกลายเป็นแบบ
มั่วไม่มีหลักแหล่งโดยทันที 5555
บางเพจเน้นการเงิน เศรษฐกิจ
บางเพจเน้นธรรมะ พุทธ
บางเพจเนั้นประวัติศาสตร์
บางเพจเน้นเสนอชีวิตยากลำบาก
บางเพจแต่งเรื่องสั้นๆต่าง
แต่เพจผมก็ได้กลายเป็น
แนวคิด การเมือง ยำรวมกับ สิ่งที่แอดมินได้ไปเจอ
เพจผมได้กลายเป็นยำอบวุ้นเส้นเรียบร้อยแล้ว 555
ผมก็เลยคิดว่าเพจผมจะกลายเป็น Opinion แทน
เล่าในสิ่งที่แอดมินเพจอยากจะเล่านั้นเอง
ดังนั้นแต่ละสิ่งที่ผมจะเสนอก็จะเดาทางไม่ออกเลย
ผมถือว่าเพจนี้คือสมุดบันทึกชีวิตของผม
ว่าผมคิดอะไร ไปเที่ยวอะไร มีอารมณ์ความรู้สึกอย่างไร
ผมได้ตัดสินใจเช่นนั้น และมันก็ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว
การที่เห็นตัวเลข 101 มันเกินความคาดหมายผมอย่างมากๆ
ผมไม่เคยคิดว่าจะมีคนมากมายขนาดนี้ ตอนที่ผมตื่นมา
แล้วเห็นเลขแตะสามหลัก ผมดีใจมากๆ ยิ้มทั้งวันเลย
เอาไปอวดครอบครัวกันยกใหญ่เลยทีเดียว
ผมต้องขอบคุณทุกคนที่มาติดตาม หรือมาอ่านบทความผม
ผมขอบคุณทุกคนจริงๆ ผมดีใจมากๆ ดีใจสุดๆไปเลยครับ
ถ้าวันใดวันนึงผมเห็นเลข
500 1,000 หรือมากกว่านั้น
ผมจะกลับมาเล่าว่าผมคิดยังไง
ระหว่างที่จะแตะเลขนั้นอีก
ผมถือว่าอย่างน้อยผมก็ได้
ก้าวมา ก้าวนึงแล้ว
และผมยังมีไฟในการเขียนอยู่
ดังนั้นผมจะเขียนไปเรื่อยๆๆ
ตราบที่ผมยังมีแรงและยังเห็นว่า
การเขียนนั้นยังมีค่าอยู่...
ถ้าวันใดวันนึงผมหยุดเขียน
และหายไปจาก blockdit เกินสัปดาห์
ให้เดาไว้ได้เลยว่า!!!!!
ลืมรหัสผ่าน ขี้เกียจ หมดไฟ หมดไอเดีย หมดมุข 555
-CourAge
ปล. จะไม่มีวันบอกข้อมูลส่วนตัวอิอิ
อย่างน้อยรู้ได้แค่ว่า เพศชาย ชอบกิน และขี้เหงามากๆ 555
โฆษณา