13 ต.ค. 2019 เวลา 12:58 • ไลฟ์สไตล์
เรื่องทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพ่อ
ตอนเช้าประมาณตี 5 น้องชายลูกชายวัย 16 ปี มาเคาะห้องพ่อ บอกว่าอาเจียน หลังจากนั้นก็เข้ามานอนในห้องพ่อ ตอนเช้าพ่อกับแม่มีงานสำคัญระหว่าง 7-8 โมง
กลับมาน้องชายนอนซมอยู่แล้วบอกว่าอ้วกอีกครั้ง พ่อเอายาแก้อ้วกให้กิน แล้วต้มโจ๊กกึ่งสำเร็จรูปให้กิน กินได้ไม่เท่าไหร่ก็อ้วกอีก คราวนี้มีแต่น้ำออกมา ประมาณเกือบ 2 ลิตร พ่อชักใจไม่ค่อยดี บอกว่ารอสักพักจะพาไปหาหมอ ขณะนอนอยู่ชายบอกปวดท้องขอไปเข้าห้องน้ำ
กลายเป็นว่าทั้งอุจจาระทั้งอาเจียน คราวนี้อยู่ไม่ได้แล้วอาการอย่างนี้ต้องรีบไปหาหมอแล้ว ทั้งพ่อกับแม่เลยรีบนำขึ้นรถ ข้ามฝั่งไปหาหมอ
ขณะขับรถไปก็นั่งปรึกษากันว่าเมื่อคืนไปกินอะไรมา ทำไมท้องเสียและอาเจียน สรุปว่าเราซื้อหมูปิ้งข้างถนนมากิน พร้อมข้าวเหนียว แต่ทำไมเป็นแค่ชายคนเดียว อีกสามคนไม่เป็นอะไร พ่อแม่และน้องสาว เลยสรุปกันว่าชายเป็นคนธาตุอ่อน หรือไม่ก็ไปเจอชิ้นที่ปนเปื้อนพอดี
วันนี้เป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 วันออกพรรษา ครอบครัวเราตั้งใจกันว่าจะไปดูบั้งไฟพญานาค แต่ต้องไปโรงพยาบาลแทน
เรามาถึงโรงพยาบาลมีชื่อแห่งหนึ่งในจังหวัดหนองคาย (แน่ละต้องมีชื่อทุกโรงพยาบาล) เป็นโรงพยาบาลเอกชน
เนื่องจากวันนี้เป็นวันอาทิตย์ไม่มีหมอประจำ มีแต่หมอเวร นั่งรอสักพักหนึ่ง ก็ได้รับการตรวจ คุณหมอผู้หญิงอายุยังไม่มากนัก หน้าตาน่ารักดี (มันเกี่ยวอะไรกับการรักษาโรคนะเนี่ย)
คุณหมอจับท้องดูสักพัก ก็ไม่พูดอะไร แต่ถามพ่อว่า จะรับยากลับบ้านหรือแอดมิท พ่อเห็นลูกอาเจียนมากเสียน้ำเยอะก็เลยอยากให้น้ำเกลือ แอดมิทก็ได้ครับ อยากให้น้ำเกลือ
คุณหมอก็เลยสั่งแอดมิท แต่บอกว่าอาจเป็นไส้ติ่งได้ให้เฝ้าระวังอาการหน่อยไหมคะ แล้วก็เรียกพยาบาลมาสั่ง แล้วบอกว่าให้รอคุยกับเจ้าหน้าที่เรื่องค่าห้อง
สักครู่หนึ่งก็มีเจ้าหน้าที่แผนกห้องพักมาสอบถามจะเอาห้องเล็กหรือเอาห้องขนาดกลางค่ะ พร้อมบอกราคา ห้องเล็ก 800 บาทต่อคืน ห้องกลาง 1,500 บาท เรามีคนเฝ้าสามคน พ่อ แม่ น้องสาว ก็เลยบอกว่าเอาห้องกลาง พยาบาลเข็นไปให้น้ำเกลือและเอาเลือดไปตรวจ
หลังจากนั้นไม่นานเราก็ได้ห้อง
ห้องขนาดกลาง มีเตียงคนไข้ 1 เตียง โซฟาคนเฝ้าไข้ 1 ตัว โต๊ะนั่งกินข้าวพร้อมเอ้าอี้ 2 ตัว และตู้เย็น 1 ใบ ก็โอเคนะ
สักพักก็มีพยาบาลเข้ามา ต้องงดน้ำงดอาหารนะคะ เพราะอาจจะต้องผ่าตัดถ้าเป็นไส้ติ่ง
พ่อเริ่มมีคำถาม คุณหมอที่ชำนาญเรื่องไส้ติ่งวินิจฉัยดีแล้วหรือครับว่าเป็น ยังไม่เห็นมีหมออะไรมาดูสักคนเลย
ยังค่ะ แต่ถ้าเป็นคุณพ่อยินยอมให้ผ่าตัดนะคะ
ยังไม่ยินยอมครับ ต้องยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับว่าเป็น แล้วจะตรวจยืนยันยังไงครับ
พยาบาลรีบตอบ ทำซีทีสแกนค่ะ หรืออัลตราซาวด์ แต่ถ้าให้ 100 เปอร์เซ็นต์ ต้องทำซีทีสแกน จะทำเลยไหมคะ
ยังครับ ให้รอดูอาการสักหน่อย พ่อตอบไปตามตรง
คุณหมอจะมากี่โมงครับ
สองทุ่มครึ่งค่ะ พยาบาลตอบ
ชักจะโกโซบิ๊ก (ไปกันใหญ่)แล้วนะนี่
หลักจากพยาบาลเดินออกไป พ่อเดินตามไปสอบถามที่เคาน์เตอร์พยาบาลเวร
ต้องงดน้ำอาหารนานเท่าไหร่ครับ
จนกว่าจะรู้ผลค่ะ (แล้วจะรู้ผลได้ยังไงนี่ยังไม่เห็นใครมาตรวจเลย)
สักพักหนึ่งก็มีพยาบาลเดินเข้ามา แจ้งผลเลือดพบว่ามีเม็ดเลือดขาวมาก น่าจะมีอาการติดเชื้อ จะทำซีทีสแกนเลยไหมคะ ค่าทำ 20,000 บาท ค่ะ
ยังครับ รอดูอาการหน่อยดีกว่า เพราะไม่เห็นเขาเจ็บอะไรเลยนี่ครับ
พยาบาลจึงเดินไปเอามือกดที่หน้าท้องน้องชาย กดที่ด้านขวาไม่เจ็บ แต่พอกดด้านซ้ายน้องชายบอกเจ็บนิดหน่อย ถ้าให้ชัวร์ก็ต้องทำซีทีสแกนค่ะ
เป็นไส้ติ่งมันปวดด้านขวาไม่ใช่หรือ พ่อถามอยู่ในใจ ไม่กล้าถามเสียงดัง กลัวพยาบาลไม่พอใจ
เพียงแต่ตอบไปว่ายังไม่ทำครับรอดูอาการไปก่อน
พยาบาลเดินออกไปสักครู่ก็เดินเข้ามาอีก ทำซีทีสแกนเฉพาะที่ก็ได้นะคะ 3,000 บาท เฉพาะบริเวณไส้ติ่ง
พ่อชักสงสัยมีทำเฉพาะที่ด้วย แถมถูกจนไม่น่าเชื่อ นี่ถ้าตัดสินใจทำทั้งหมด ตรูมิต้องจ่ายค่าอะไรก็ไม่รู้ไป 17,000 บาท แล้วหรือนี่ (หักลบ 3,000 ออกแล้ว)
และก็ยังยืนยันคำตอบเดิม ยังไม่ทำรอดูอาการไปก่อนครับ
ชักจะไม่กล้าทำเพราะเริ่มมโนไปไกล ถ้าตรวจซีทีสแกน ผลจะต้องออกมาว่าเป็นไส้ติ่งแน่ๆ แล้วก็ต้องพาน้องชายไปผ่าตัด เพราะตอนนี้หมอสั่งให้งดน้ำงดอาหาร เหมือนการเตรียมผ่าตัดจริงๆ แล้วถ้าไม่เป็นจริง มิต้องเจ็บตัวฟรีๆหรือ แถมต้องเสียเงินอีก เข้าทำนอง
เสียเงินเพื่อให้เจ็บตัว แต่คนเจ็บคือลูกชายของเรานะ
เรื่องนี้ควรจะจบอย่างไรดี ผ่าหรือไม่ผ่า หรือยกเลิกไม่รักษาแล้วขอกลับบ้านเลย แต่เอ๊ะ นี่เราพาลูกมาเพราะอาเจียนท้องเสีย หรือเพราะปวดท้องเป็นไส้ติ่งกันแน่
โฆษณา