14 ต.ค. 2019 เวลา 02:06 • ประวัติศาสตร์
“ไมเคิล แจ็กสัน (Michael Jackson) ราชาเพลงป๊อปผู้สร้างประวัติศาสตร์วงการดนตรี” ตอนที่ 5 (ตอนจบ)
1
บทสุดท้ายของราชาเพลงป๊อป
ตอนนี้ไมเคิลมีฐานะร่ำรวยเข้าขั้นเศรษฐี เขาสามารถทำทุกสิ่งและซื้อทุกอย่างที่ต้องการได้ และก็ไม่มีใครกล้าห้ามเขา
บางครั้งบรานกาก็คอยเตือนไมเคิล แต่ไมเคิลก็ยังทำทุกอย่างตามที่เขาต้องการ ซึ่งหลายอย่างนั้นก็ดูหลุดโลก
ค.ศ.1986 (พ.ศ.2529) ไมเคิลได้ไปเยี่ยมผู้ป่วยในโรงพยาบาลและได้เห็นโลงแก้วที่เรียกว่า “Hyperbaric Chamber”
1
Hyperbaric Chamber มีไว้ใช้สำหรับผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มเติม ซึ่งไมเคิลก็สนใจมากและได้ลองลงไปนอนในโลงแก้วนี้ดู
ไมเคิลให้ถ่ายรูปตอนเขานอนในโลงนี้และส่งภาพถ่ายไปยังหนังสือพิมพ์ โดยบอกว่าเขานอนในโลงนี้ทุกคืนเพื่อที่จะได้มีอายุยืนถึง 150 ปี
ไมเคิลนอนใน Hyperbaric Chamber
ซึ่งจริงๆ แล้วที่ไมเคิลพูดนั้นไม่ใช่เรื่องจริง เขาเพียงแต่ล้อเล่นเท่านั้น
2
ต่อมา ก็ยังมีข่าวเพี้ยนๆ เกี่ยวกับไมเคิลออกมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการที่เขาต้องการจะซื้อกระดูกของมนุษย์ช้าง หรือการที่เขานอนและกินข้าวกับลิงชิมแปนซีซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงของเขา
ไมเคิลนั้นเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและร่ำรวย แต่เขาก็ยังคงไม่มีความสุข เขายังคงไม่พอใจกับหน้าตาตัวเองและทำศัลยกรรมมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นเสพย์ติดศัลยกรรม
หลังผ่าตัด ไมเคิลมักจะใส่หน้ากากกันเชื้อโรคเพื่อปกปิดแผลผ่าตัด แต่หนังสือพิมพ์ก็ได้ตีพิมพ์ข่าวของไมเคิล หาว่าเขาเป็นพวกเพี้ยน
ตอนนี้ไมเคิลเริ่มไม่อยากได้ความสนใจจากสื่ออีกต่อไป เขาต้องการความเป็นส่วนตัวและหนีห่างจากสื่อ
ค.ศ.1988 (พ.ศ.2531) ไมเคิลก็ได้เจอสถานที่ๆ เหมาะสำหรับการหนีสื่อ
ไมเคิลได้ซื้อที่ดินจำนวนเกือบ 3,000 เอเคอร์ (ประมาณ 6,800 ไร่) และตั้งชื่อว่า “Neverland” พร้อมสร้างบ้านหลังใหญ่และสวนสนุกส่วนตัว
Neverland
Neverland เป็นเสมือนกับฝันที่เป็นจริงของไมเคิล
Neverland นั้นมีขนาดใหญ่มาก มีสวนสนุก ทั้งม้าหมุน รถไฟเล็ก เรือโจรสลัด สวนสัตว์ รวมถึงโรงหนังและวีดีโอเกมส์สารพัดอย่าง และยังมีบ้านหลังใหญ่สำหรับไมเคิล รวมถึงบ้านรับรองแขกอีกด้วย
ที่ไมเคิลสร้าง Neverland ให้ใหญ่โต มีทุกอย่างครบขนาดนี้ก็เพื่อปิดปมด้อย
ไมเคิลนั้นทำงานตั้งแต่อายุห้าขวบ เขาไม่เคยมีวัยเด็กเหมือนเด็กคนอื่นๆ ดังนั้นที่ Neverland เขาสามารถสนุกกับเครื่องเล่นเหมือนเด็กๆ ได้อีกครั้ง
แต่ปัญหาคือ ใครจะมาเล่นสนุกกับเขาล่ะ?
ไมเคิลนั้นรักครอบครัวและพี่น้องมาก แต่เขาก็ไม่อยากจะอาศัยอยู่กับครอบครัวและพี่น้อง ไมเคิลรู้สึกว่าครอบครัวและพี่น้องของเขามักจะเรียกร้องสิ่งต่างๆ จากเขามากเกินไป ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะเขาเป็นสมาชิกครอบครัวแจ็กสันที่ประสบความสำเร็จและโด่งดังที่สุดในบรรดาพี่น้อง
1
พี่น้องของไมเคิลต้องการให้ไมเคิลออกทัวร์กับพวกเขาอีกครั้ง เหมือนคืนวันเก่าๆ ของ The Jackson 5 แต่ไมเคิลไม่ต้องการอย่างนั้น
ไมเคิลจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่เพียงลำพังใน Neverland
2
ไมเคิลใน Neverland
สำหรับเรื่องของความรักนั้น ไมเคิลเคยออกเดทกับ “เททัม โอนีล (Tatum O'Neal)” อดีตดาราเด็ก
ไมเคิลนั้นชอบเททัม เนื่องจากทั้งคู่เข้าวงการบันเทิงตั้งแต่ยังเด็กทั้งคู่ ทำให้เข้าใจกันและกัน
ไมเคิลและเททัม
ต่อจากนั้น ไมเคิลก็ได้ออกเดทกับ “บรุก ชีลส์ (Brooke Shields)” นางแบบวัยรุ่นและนักแสดง และจากนั้น เขาก็ไม่ได้ออกเดทกับใครอีกเลย
ไมเคิลและบรุก
แต่ในช่วงที่ชีวิตของเขากำลังวุ่นวายจากการตามติดของสื่อ ไมเคิลก็ต้องการใครซักคนที่จะอยู่เคียงข้างเขา ใครที่จะช่วยให้ความเหงาของเขาหายไป
ไมเคิลได้โทรหา “ลิซ่า มารี เพรสลีย์ (Lisa Marie Presley)” ลูกสาวของ “เอลวิส เพรสลีย์ (Elvis Presley)” ราชาเพลงร็อกแอนด์โรลล์
ไมเคิลและลิซ่าเป็นเพื่อนกันมาเป็นเวลานาน แต่ทั้งคู่ก็เริ่มมีความรู้สึกพิเศษให้กัน และทั้งคู่ก็มักจะโทรศัพท์หากันเสมอ
วันหนึ่ง ขณะไมเคิลออกทัวร์คอนเสิร์ต เขาได้โทรหาลิซ่าและขอลิซ่าแต่งงาน
ในตอนนั้นลิซ่าแต่งงานกับคนอื่นอยู่แล้ว แต่เธอก็ตอบตกลงและตั้งใจว่าจะหย่าเพื่อมาแต่งงานกับไมเคิล
ไมเคิลและลิซ่า
ไมเคิลและลิซ่าแต่งงานกันอย่างลับๆ ในวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ.1994 (พ.ศ.2537) ที่สาธารณรัฐโดมินิกัน โดยไม่มีครอบครัวของทั้งสองฝ่ายมาร่วมงานหรือรับทราบ
ภายหลังกลับมายังอเมริกา ข่าวการแต่งงานของไมเคิลก็กลายเป็นข่าวใหญ่
แต่ชีวิตคู่ของคนทั้งสองนั้นไม่ยืนยาวนัก ทั้งคู่หย่ากันในเวลาไม่ถึงสองปี ซึ่งสาเหตุก็มาจากไมเคิลอยากมีลูก ในขณะที่ลิซ่ามีลูกอยู่ก่อนแล้วและไม่ต้องการจะท้องอีก
3
ทั้งคู่หย่ากันในปีค.ศ.1996 (พ.ศ.2539) แต่ยังคงความเป็นเพื่อนกันอยู่
5
ไมเคิลและลิซ่า
ไมเคิลยังคงไม่ละความพยายามที่จะมีลูก หญิงสาวคนใหม่ที่ไมเคิลเลือกมาเป็นแม่ของลูกคือ “เด็บบี้ โรว์ (Debbie Rowe)” หญิงสาวที่ไมเคิลพบที่คลินิกโรคผิวหนัง
ทั้งคู่คุยโทรศัพท์กันบ่อยจนเริ่มสนิทกัน และในที่สุด เด็บบี้ก็ตกลงจะมีลูกให้ไมเคิล
ไมเคิลกับเด็บบี้และลูกทั้งสอง
เด็บบี้นั้นมีลูกให้ไมเคิล โดยที่ไม่ได้แต่งงานเป็นภรรยาของไมเคิล ซึ่งนี่ก็คือความต้องการของไมเคิล
แต่แม่ของไมเคิลไม่พอใจนัก แม่ของไมเคิลต้องการให้ไมเคิลแต่งงานกับเด็บบี้ เนื่องจากแคทเทอรีน แม่ของไมเคิลนั้นเป็นคนที่เคร่งศาสนาและไม่เห็นด้วยที่ไมเคิลจะมีลูก โดยไม่แต่งงานกับแม่ของลูก
ไมเคิลจึงต้องแต่งงานกับเด็บบี้อย่างเสียไม่ได้ ทั้งคู่แต่งงานกันในวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ.1996 (พ.ศ.2539) ที่ออสเตรเลีย โดยมีเพื่อนไปร่วมงานเพียงแค่ 15 คน และทั้งไมเคิลและเด็บบี้นั้นแต่งกายด้วยชุดดำทั้งคู่
ไมเคิลและเด็บบี้ในวันแต่งงาน
13 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1997 (พ.ศ.2540) เด็บบี้ก็ได้คลอดเด็กชาย ซึ่งไมเคิลตั้งชื่อว่า “พรินซ์ ไมเคิล แจ็กสัน (Prince Michael Jackson)” ต่อจากนั้น วันที่ 3 เมษายน ค.ศ.1998 (พ.ศ.2541) เด็บบี้ก็ได้มีลูกอีกคนให้ไมเคิล คราวนี้เป็นลูกสาว ซึ่งไมเคิลตั้งชื่อว่า “ปารีส (Paris Katherine Michael Jackson)”
ไมเคิลเลี้ยงดูลูกทั้งสองโดยปราศจากเด็บบี้ ซึ่งเด็บบี้ก็ได้มาเยี่ยมลูกๆ เพียงไม่กี่ครั้ง จนในที่สุด ทั้งคู่ก็ได้หย่ากันในปีค.ศ.1999 (พ.ศ.2542)
ไม่กี่ปีต่อมา ไมเคิลก็ได้ประกาศว่าเขากำลังจะมีลูกคนที่สาม ลูกคนนี้ไม่ได้เกิดจากเด็บบี้ และไมเคิลก็ไม่ได้ประกาศว่าใครเป็นแม่ของเด็ก
ลูกคนที่สามเกิดเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2002 (พ.ศ.2545) ซึ่งไมเคิลตั้งชื่อว่า “พรินซ์ ไมเคิลที่สอง (Prince Michael II)”
ลูกๆ ทั้งสามของไมเคิลกับแคทเทอรีน ย่าของเด็กทั้งสาม
ในเวลานี้ไมเคิลก็ได้มีลูกอย่างที่ใฝ่ฝันแล้ว แต่เขาจะมีความสุขจริงหรือ?
คำตอบคือไม่
ตลอดยุค 80 (พ.ศ.2523-2532) จนถึงต้นยุค 90 (พ.ศ.2533-2542) ไมเคิลยังคงออกอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จออกมาเรื่อยๆ
1
อัลบั้ม “BAD” ที่ออกมาในปีค.ศ.1987 (พ.ศ.2530) ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยมีเพลงโปรดของไมเคิลคือ “Man in the Mirror”
เพลงนี้ไมเคิลไม่ได้เป็นคนแต่ง แต่เขาก็ชอบมาก ซึ่งเพลงนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงโลก โดยเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงตนเองก่อน
นี่คือเพลง Man in the Mirror ครับ
ไมเคิลได้บริจาคเงินทั้งหมดที่ได้จากเพลงนี้ให้กับค่ายดูแลเด็กที่ป่วยด้วยโรคมะเร็ง
อัลบั้มต่อมาของไมเคิลคือ “Dangerous” ซึ่งออกมาในปีค.ศ.1991 (พ.ศ.2534) และมีเพลงฮิตที่น่าสนใจคือเพลง “Black or White”
Black or White มีเนื้อหาสื่อว่าไม่ว่าคุณจะมีผิวสีอะไรก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ โดยเพลงนี้ได้รับการเปิดในสถานีวิทยุทั่วประเทศตั้งแต่วันแรกที่ออกมา
นี่คือเพลง Black or White ครับ
อีกเพลงในอัลบั้มนี้ที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือ “Heal the World”
Heal the World เป็นเพลงที่มีเนื้อหาอนุรักษ์โลกและหยุดยั้งสงคราม โดยเพลงนี้ไมเคิลเป็นคนแต่งเพลงเองและเป็นหนึ่งในเพลงยอดเยี่ยมเพลงหนึ่งของไมเคิล
ผมขออนุญาตลงเอ็มวี Heal the World รวมถึงการแสดงเพลง Heal the World ของไมเคิลครับ
ไมเคิลยังคงเป็นนักร้องดังระดับแถวหน้าของโลก แต่ชีวิตส่วนตัวของเขาก็เริ่มแย่ลง เขาเริ่มกลับมาใช้ยาอีกครั้ง ทั้งยานอนหลับและยาแก้ปวด
ภายในปีค.ศ.2005 (พ.ศ.2548) ไมเคิลก็ไม่ได้มีผลงานฮิตอีกเลย
“Invincible” อัลบั้มที่ออกในปีค.ศ.2001 (พ.ศ.2544) ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากเหมือนผลงานยุคแรกๆ ของเขา และไมเคิลก็ไม่อยากจะออกทัวร์คอนเสิร์ตอีก เนื่องจากเขาไม่มั่นใจว่าจะแสดงออกมาดี
ไมเคิลใช้เวลาอยู่กับลูกๆ ในหลายๆ ประเทศ ก่อนที่จะกลับมาอเมริกา และอาศัยอยู่ในลาสเวกัส ซึ่งไมเคิลก็ใช้เงินมือเติบ และห้อมล้อมด้วยความหรูหรา
บ้านที่ลาสเวกัสของไมเคิล
ค.ศ.2007 (พ.ศ.2550) ไมเคิลนั้นมีหนี้ท่วมตัว ที่ผ่านมา เขาได้ยืมเงินจำนวนมากเพื่อให้เขาสามารถใช้ชีวิตอย่างหรูหราได้ แต่ตอนนี้ถึงเวลาต้องจ่ายเงินแล้ว หากไม่จ่าย เขาอาจต้องเสียทั้ง Neverland ทั้งแค็ตตาล็อกเพลง The Beatles
ไมเคิลจำเป็นต้องออกทัวร์คอนเสิร์ตรวมถึงอัดเพลงอีกครั้ง เขาจึงตกลงออกทัวร์คอนเสิร์ต 50 รอบ ซึ่งมีชื่อคอนเสิร์ตว่า “This Is It” ซึ่งจะจัดขึ้นที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษในปีค.ศ.2009 (พ.ศ.2552)
ไมเคิลขณะซ้อมคอนเสิร์ต This Is It
ไมเคิลนั้นซ้อมคอนเสิร์ตอย่างสนุกสนาน เขาทั้งร้อง ทั้งเต้นได้อย่างยอดเยี่ยม แต่เขาก็ยังคงเครียด หากว่าเขาทำได้ไม่ดีล่ะ?
ไมเคิลจำเป็นต้องใช้ยาเพื่อระงับอาการเครียด รวมถึงยานอนหลับ
ไมเคิลได้จ้างแพทย์ส่วนตัวให้ดูแลเขา นั่นคือนายแพทย์ “คอนราด เมอร์เรย์ (Dr.Conrad Murray)”
คอนราด เมอร์เรย์ (Dr.Conrad Murray)
เมอร์เรย์ได้ให้ยานอนหลับแก่ไมเคิล แต่เป็นขนาดที่แรงเกินไป ทำให้ไมเคิลน็อก หลับไปไม่รู้เรื่อง
25 มิถุนายน ค.ศ.2009 (พ.ศ.2552) ไมเคิล แจ็กสันเสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาด
เมอร์เรย์ถูกตั้งข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา และถูกตัดสินจำคุกสองปี
เมื่อข่าวการเสียชีวิตของไมเคิลแพร่ออกไป ผู้คนทั้งโลกต่างเศร้าใจ มีการจัดงานรำลึกถึงไมเคิลทั่วโลก
ผู้คนแสดงความระลึกถึงไมเคิลทั่วโลก
งานศพของไมเคิลนั้นถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์และเต็มไปด้วยคนดังมากมายที่มาร่วมงาน นักร้องดังต่างร้องเพลงของไมเคิลเพื่อระลึกถึงเขา และพี่น้องของไมเคิลต่างก็ร้องเพลงของไมเคิลเพื่อระลึกถึงไมเคิล
1
งานศพของไมเคิล
เบอร์รี กอร์ดี้ (Berry Gordy) ผู้ที่ปลุกปั้น The Jackson 5 และเป็นจุดเริ่มต้นความโด่งดังของไมเคิล ได้กล่าวระลึกถึงไมเคิล โดยมีใจความสำคัญว่า
“ตำแหน่ง “ราชาเพลงป๊อป (King of Pop)” ยังน้อยเกินไปสำหรับไมเคิล เขาคือเอ็นเตอร์เทนเนอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่โลกเคยมีมา”
ก่อนไมเคิลจะเสียชีวิตนั้น ได้มีข่าวเสียๆ หายๆ มากมายเกี่ยวกับตัวเขา เขาเริ่มจะตกต่ำ หลายคนก็บอกว่าเขาไม่คู่ควรกับตำแหน่งราชาเพลงป๊อป
1
แต่เมื่อเขาเสียชีวิต หลายฝ่ายต่างกลับไปทบทวนดูผลงานของเขา และเกือบทุกคนก็เห็นตรงกัน
“ไมเคิล แจ็กสันคือราชาเพลงป๊อปตัวจริง ไม่มีใครคู่ควรกับตำแหน่งนี้อีกแล้วนอกจากเขา”
นอกจากนั้น เรื่องราวดีๆ ของเขามากมายได้ถูกเปิดเผยและนำมาแชร์ภายหลังจากที่เขาเสียชีวิต
ไมเคิลเคยถูกกล่าวหาว่าล่วงละเมิดทางเพศเด็กผู้ชาย ซึ่งไมเคิลก็ยอมจ่ายเงินเพื่อให้คดีจบ แต่ภายหลัง เด็กคนนั้นก็ได้เปิดเผยว่าไมเคิลไม่ได้ทำ เขาเพียงแต่ทำตามคำสั่งพ่อที่ต้องการกรรโชกเงินของไมเคิลไปล้างหนี้เท่านั้น
ได้มีแฟนเพลงรายหนึ่งพูดถึงเรื่องนี้ไว้อย่างกินใจว่า
“คุณคิดว่าบุคคลที่แต่งเพลงให้รักษ์โลกและหยุดสงครามอย่าง Heal the World
คนที่บริจาคเงินรายได้กว่าครึ่งหรืออาจจะเกินครึ่งเพื่อช่วยเหลือเด็กที่ด้อยโอกาสและเจ็บป่วยทั่วโลก
คนที่พอมีเวลาว่างจากการออกทัวร์จะต้องรีบไปเยี่ยมเด็กๆ ที่ป่วยในโรงพยาบาล
คนที่มีส่วนตั้งโครงการช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสและเจ็บป่วย
คุณเชื่อจริงๆ หรือว่าคนอย่างนี้จะทำเรื่องชั่วช้าอย่างนั้นได้ลงคอ?”
1
ไมเคิลขณะช่วยเหลือการกุศลและเยี่ยมเยียนเด็กด้อยโอกาสและเจ็บป่วยในโรงพยาบาล
ตลอดช่วงชีวิตของไมเคิล มีการประเมินกันว่าเขาได้บริจาคเงินเพื่อการกุศลรวมกันทั้งหมดตลอดชีวิตกว่า 500 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 15,000 ล้านบาท) ซึ่งมากกว่ามหาเศรษฐีหลายๆ คนซะอีก ทำให้เขาเป็นคนบันเทิงที่บริจาคเงินเพื่อการกุศลมากที่สุดคนหนึ่ง
จบลงแล้วสำหรับซีรีย์ชุดนี้ ซีรีย์ชุดต่อไปเป็นเรื่องของกำแพงเบอร์ลิน ฝากติดตามด้วยนะครับ
โฆษณา