14 ต.ค. 2019 เวลา 14:17 • ความคิดเห็น
พระบารมีปกเกล้า
ผมขออนุญาตเขียนถึงนายหลวงรัชการที่ 9 อีกเรื่องหนึ่งก่อนที่จะผ่านช่วงวันครบรอบวันเสด็จสวรรคตของพระองค์ ในวันที่ 13 ตุลาคม ในวาระนี้อีกครั้ง แม้ว่าพระองค์จะเสด็จสู่สรวงสวรรค์แล้ว แต่พระบารมีของพระองค์ที่ปกเกล้าปกกระหม่อมนั้น ไม่เคยเสื่อมคลายไปเลยแม้แต่น้อย
ผมจึงอยากทบทวนความทรงจำเกี่ยวกับพระองค์ที่ผมได้สัมผัสให้มากที่สุดเท่าที่คนที่อายุเลยครึ่งชัวิตมาแล้วคนนี้จะจำความได้
ถ้าจะถามว่าครั้งแรกที่ได้เข้าเฝ้ารับเสด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ครั้งแรก คงเป็นตอนที่ผมอายุราว 7 ขวบ
ผมจำได้ดี วันนั้นเป็นงานพระราชทานปริญญาบัตรแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ครอบครัวของเราไปพร้อมหน้ากันเพื่อแสดงความยินดีกับคุณพ่อผมที่ได้รับปริญญาด้วยในวันนั้น
ผมซึ่งกำลังนั่งเล่นนั่งรอจนเบื่อหน่าย เพราะไม่มีอะไรบันเทิงใจนักสำหรับเด็กในงานรับปริญญา ผมจึงเดินเตร่แถวรอบๆ หอประชุมที่จัดงานพระราชทานปริญญาบัตร ทันทีที่ขบวนเสด็จมาถึง เสียงเหล่าญาติที่มารอเหล่าบัณฑิตก็สงบลงทันทีจนน่าประหลาด
อาคารที่ใช้จัด เป็นอาคารเปิดโล่งคล้ายโรงยิมของโรงเรียนมัธยมสมัยก่อน เป็นหอประชุมที่น่าจะตั้งอยู่ข้างทางเข้าด้านหน้าของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั่นเอง
อากาศร้อนทีเดียว ไม่มีเครื่องปรับอากาศใดๆ และในหอประชุมอัดแน่นด้วยบัณฑิต ตอนนั้นผมไม่เคยนึกถึงเลยว่าพระองค์จะต้องร้อนขนาดไหนในชุดครุยวิทยาฐานะ และต้องพระราชทานปริญญาจำนวนมากมายขนาดไหน และจำนวนกี่วันในแต่ละมหาวิทยาลัยหลายแห่งทั่วประเทศ พระองค์ต้องเหน็ดเหนื่อยขนาดไหนกัน เพราะเวลาส่วนพระองค์ก็แทบไม่มีอยู่แล้วด้วยซ้ำ
แต่ผมเข้าใจเองว่า ที่พระองค์ทรงอุตสาหะพยายามมากมายนั้น เพราะพระองค์ทรงทรงต้องการสื่อสารกับบัณฑิตใหม่ทั้งหลายที่กำลังจะเป็นผู้นำชาติให้พัฒนาไปในอนาคตว่า ขอให้พวกเขาโปรดสละแรงกายแรงใจ เพื่อช่วยกันให้ชาติของเรานั้นเจริญ มั่นคง และเป็นบ้านเมืองที่ทุกคนอยู่กันอย่างมีความสุขอย่างยั่งยืน ท่านคงทรงต้องการสื่อสารเช่นนั้น ดูได้จากพระบรมราโชวาทที่ทรงมอบให้ทุกครั้งในงานพระราชทานปริญญาบัตรทุกครั้งไป
ผมจำได้ในโอกาสมงคลสูงสุดในชีวิตที่ได้เฝ้ารับเสด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ด้วยตนเอง
วันนั้นอากาศร้อน แสงแดดแผ่ลอดผ่านต้นไม้ลงมาตกกระทบพื้น แม้นั่งใต้ร่มไม้ก็ยังรับรู้ได้ถึงความร้อนที่อบอ้าวได้ดี
ผมและเพื่อนๆ นั่งเรียงกันเป็นแถวยาวทอดไปตามถนนในมหาวิทยาลัย ทุกคนนั่งพัดกันไปมาเพราะความร้อนอบอ้าว เสียงวิทยุสื่อสารของตำรวจจราจรที่อยู่ด้านนอกเริ่มดังสลับกันไปมา
มีสัญญาณจากรุ่นพี่ที่ควบคุมอยู่เป็นระยะบอกผ่านเครื่องขยายเสียงว่า
"ขบวนเสด็จกำลังจะมาถึงประตูหน้าแล้วค่ะ น้องๆ เตรียมพร้อมตามที่ซ้อมไว้นะคะ เห็นล้อหน้ารถพระที่นั่งผ่านมา ให้ก้มกราบนะคะ"
ทุกคนเริ่มตื่นเต้น แต่เสียงรอบตัวเรากลับสงบนิ่งลงในทันใด ท่ามกลางความเงียบสงบนั้น อากาศที่ร้อนอบอ้าวกลับเย็นสบายขึ้นในทันที รู้สึกถึงลมพัดเย็นๆ ที่พัดผ่านร่างกายให้คลายร้อนไปพลัน
รถพระที่นั่งเคลื่อนเข้าประตูมหาวิทยาลัยมาแล้ว กำลังเคลื่อนมาช้าๆ ผมรู้สึกเหมือนกำลังมองภาพที่กำลังฉายด้วยความเร็วลดลงครึ่งหนึ่งของปกติ ล้อรถพระที่นั่งเคลื่อนมาห่างไปราวสามเมตร ผมก้มลงกราบสักครู่ แล้วเงยหน้าขึ้นมา
ผมมองเห็นพระองค์ทรงโบกพระหัตถ์ุเบาๆ อยู่บนรถพระที่นั่ง พระองค์ทรงแย้มพระสรวลเล็กน้อย นั่นคือภาพที่พวกเราทุกคนเฝ้ารอ
ความรู้สึกอิ่มเอิบท้นท่วมหัวใจ ความร้อนก่อนหน้ามลายหายไปสิ้น ได้ยินเพียงเสียงเครื่องยนต์และล้อรถพระที่นั่งเคลื่อนผ่านหน้าไปช้าๆ ทุกอย่างเหมือนในความฝัน
นั่นคือครั้งสุดท้ายที่ผมได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดพระองค์ที่สุดในชีวิต เพราะในวันที่ผมได้รับพระราชทานปริญญา พระองค์ไม่ได้เสด็จมาพระราชทานโดยพระองค์เองอีกต่อไปแล้ว ซึ่งนั้นคงไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะผมทราบดีว่าพระองค์มีสิ่งสำคัญกว่ามากมาย และมีพี่น้องคนไทยที่ทรงห่วงใยอยู่ตลอดเวลาจริงๆ
ผมจึงไม่อาจบอกได้ว่าดีใจและภูมิใจแค่ไหน ที่ชายธรรมดาคนหนึ่งได้เข้าเฝ้าชื่นชมพระบารมีของพระองค์อย่างใกล้ชิด จนติดตรึงในความทรงจำมาจนถึงทุกวันนี้
ผมยังเคยถามเพื่อนๆ ถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ทุกคนยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ทันทีที่พระองค์เสด็จมาถึง ทุกอย่างเงียบสงบ อากาศร้อนพลันมลายสิ้น ลมเย็นพัดมาให้ชื่นใจ ไม่ใช่ผมเพียงคนเดียวที่รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
คงไม่อาจใช้คำใดๆ ที่จะบอกกล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ดีไปกว่า
"เพราะพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม"
ผมคงไม่อาจลืมภาพในวันนั้นไปได้ ตราบลมหายใจสุดท้ายจะสิ้น ก็จะขอจดจำไว้ไม่ลบเลือน
แล้วทุกคนมีความทรงจำอันเป็นมหามงคลเช่นใด บอกเล่าให้กันฟังได้นะครับ เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระองค์ท่านอีกครั้งในวันนี้ครับ
โฆษณา