15 ต.ค. 2019 เวลา 18:33 • ความคิดเห็น
ความสำคัญของความว่างเปล่า
จุดเริ่มต้น กับ โพสต์ที่ยังว่างเปล่า รอการรังสรรค์
ภาพที่คุณเห็นอยู่นี้ คือก่อนที่ผมจะเริ่ม
สรรค์สร้างผลงาน งานเขียนที่คุณ
กำลังใช้สายตาอ่านมันบนหน้าจอ
และก่อนที่ผมจะมาเขียนบทความ
ผมได้ลิ้มรสชามะลิ อย่างเรียบง่าย
ซองชาที่อยู่ในแก้วกาแฟสีขาวนวล
ถูกน้ำต้มร้อนๆ รินไหลเขาสู่แก้ว
ผ่านตัวซองชา และ ผงชาก็กระจาย
ตัวของมันเองไปบนน้ำจนกลาย
เป็นสีเขียวอมเหลืองจางๆ
กลิ่นมะลิ ที่มาจากไอน้ำของชานั้น
ทำให้ผมกลับไปคิดถึงหนังสือเล่มนึง
ชงกันง่ายๆอย่างนี้แหละ
หนังสือเล่มนั้น ชื่อว่า
"ปัญญา ชา จีน"
ในหนังสือเล่มนั้น
มีภาคๆ แต่ละภาค
ภาคนึงมีชื่อว่า
"ภาคชา"
และในภาคชา
มีบทย่อยที่ชื่อว่า
"ดิน"
ซึ่งในบทนั้นมีประโยคหลักๆ
ที่อยู่ในหนังสือได้ผุดขึ้นมา
ระหว่างที่ผมกำลังจิบชา
"หากน่าแปลกใจ เมื่อเริ่มรินชาลงถ้วย
หาใช่ถ้วยที่รองรับชา
หากเป็นความว่างของถ้วยนั้นต่างหาก
ที่รองรับน้ำชาไว้"
- ปัญญา ชา จีน : หน้า 221
แก้วน้ำ ต้องมีส่วนที่ว่างเปล่า เพื่อรองรับน้ำ
ถ้าไม่มีแก้วกาแฟ น้ำชา จะ หล่นลงสู่ผืนดิน
ถ้าแก้วกาแฟ ไม่มีพื้นที่ ที่ว่างเปล่า
น้ำชาจะไม่สามารถอยู่ในแก้วได้
เหมือนกับน้ำที่เต็มแก้ว
ที่ไม่เหลือที่ว่าง
ไม่เหลือความว่างเปล่า
จนน้ำที่เหลือเอ่อล้น
หล่นลงสู่พื้นเช่นกัน
หากเปรียบเป็นศิลปะ งานวาด งานเขียน
กระดาษแผ่นนึงที่มี ความว่างเปล่า
ที่ปรากฎออกมาเป็นสีเดียว
ขาวก็ดี ดำก็ได้ สีอะไรก็ได้
ขอแค่เป็นสีเดียว มิได้มีสีอื่นแปดเปื้อน
คุณก็สามารถสร้างสรรค์ผลงานออกมา
ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
และเป็นตัวคุณได้มากที่สุด
ถ้ากระดาษที่ใช้กลับไม่ว่างเปล่า
มีเส้นใต้ กักกันจินตนาการคุณไว้
คุณจะอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์
โดยไม่รู้ตัว เพราะถ้าไม่ทำตามเส้นใต้
มันจะดูขัดหู ขัดตาโดยทันที
แต่ถ้าทำ ตัวอักษร หรือ สิ่งที่วาด
จะดูสวยงาม ตามระเบียบ
ตามกฎของเส้นใต้ที่ถูกตีไว้แล้ว
เวลาผมจดอะไร ผมชอบแบบว่างเปล่าสุดๆ ไม่ชอบแบบมีเส้นใต้
แต่ถ้าเปรียบความว่างเปล่ากับมนุษย์
ก็จะหนีไม่พ้นวลีที่เราได้ยินกันมานานว่า
"อย่าทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว"
ต้องเข้าใจความหมายของทุกตัวอักษรก่อน
น้ำ คือ ความรู้
เต็ม คือ เติมเข้าไปอีกไม่ได้
( ล้นแล้วก็เอ่อออกนอกแก้ว )
แก้ว คือ มนุษย์
น้ำเต็มแก้ว รวมกัน ได้ ความหมายว่า
เมื่อมนุษย์หลงเชื่อว่าตัวเอง
รอบรู้ที่สุด
เก่งที่สุด
ใหญ่ที่สุด
ไม่มีใครเทียบเคียงได้
ในเมื่อมนุษย์ผู้นั้นคิดเช่นนั้น
จะนำไปสู่ทัศนคติที่อันตราย
"เขาผู้นั้นจะไม่ฟังใคร"
เพราะเชื่อว่าเหตุผลตนเองดีที่สุด
ไม่จำเป็นต้องรับฟังความเห็นผู้อื่น
"เขาผู้นั้นจะไม่แสวงหาความรู้"
เพราะเชื่อว่าตนเองรู้ทุกสิ่ง
"เขาผู้นั้นจะหลงตัวเอง"
เพราะเชื่อว่าตนสมบูรณ์แบบ
"เขาผู้นั้นจะไม่ปรับตัว"
เพราะเชื่อว่าตนเป็นแบบอย่าง
ที่ดีคนต้องทำตามเขาทุกอย่าง
หรือ สรุปกันง่ายๆว่า
"เขาผู้นั้นจะไม่พัฒนาอีก"
เพราะเชื่อว่าเก่งพอแล้ว ( เก่งที่สุด )
เขียนถึงช่วงท้าย ก็หมดไปแก้วนึงแล้ว
นี้คงเป็นเวลาอันดีที่จะ จบบทความนี้
ถ้วยชานี้ ได้สอนเราอย่างนึงว่า
ความว่างเปล่านั้น ก็คือความเปิดกว้าง
เมื่อเราว่างเปล่า เราจะเปิดรับได้ทุกเรื่อง
ปราศจาก อคติ อุดมการณ์ ความคิดใดๆ
และแท้ที่จริงแล้ว มนุษย์ นั้นว่างเปล่า
ดิน น้ำ ลม ไฟ ถ้าถูกแยกออกจากกัน
มนุษย์ก็ไม่ต่างจาก ก้อนเนื้อ ก้อนกระดูก
ไม่มีความรับรู้ ไม่มีความรู้สึกแต่อย่างใด
ขอให้ท่านเปิดกว้างรับฟังให้หมดก่อน
แล้วค่อยกลับมาคิด วิเคราะห์ทีหลังว่า
สาร สาระสำคัญนั้น เป็นจริง มีประโยชน์
หรือไม่ ขอให้ทุกคนรับข่าวสารอย่างมีสติ
เพราะในยุคที่สื่อนั้นมีความอิสระเสรีกว่าก่อน
เราคือผู้ที่จะคัดกรองข่าวสารเข้าสมอง
มิใช่ ตัวสื่อ หรือ ภาครัฐแต่อย่างใด
เพราะถ้า สื่อ และ ภาครัฐทำเช่นนั้น
ก็ไม่ต่างจากการปิดหู ปิดตา ประชาชน
ให้รับฟังแต่สิ่งที่ สื่อ และ ภาครัฐ
อยากให้ประชาชนรับรู้ ไม่ต่างจาก
โฆษณาชวนเชื่อปลุกใจให้รบราฆ่าฟันกัน
ในสมัยสงครามโลก ในสมัยก่อนๆ
"รับฟังทุกสิ่ง คัดกรองข่าวสารด้วยตัวของพวกท่านเอง"
-CourAge
ปล. ผมเริ่มกังวลของหมากกระดานการเมืองหมากนึง
ผมนั่งฟัง 1 ชม. แล้วกังวลว่าถ้าข้าราชการ
แสดงจุดยืนทางการเมืองอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้
ย่อมมีแต่สุมไฟให้ร้อนลุกโชนมากขึ้น
ถ้าท่านทำตัวให้เหมือนข้าราชการของ
ประเทศที่เขามีอารยะ เขาจะไม่แสดงจุดยืน
เพราะท่านคือประชาชนที่มีอำนาจเหนือกว่าใคร
เหนือกว่าประชาชนธรรมดากว่าหลายเท่า
การแสดงตนเช่นนั้นย่อมมีแต่ผลเสีย ไม่มีผลดี
แสดงตัวเป็นศัตรูกับประชาชน นั้นมิใช่ผลดี
เพราะท่านมีอำนาจที่จะสามารถกำหนด
ความเป็น ความตายของประชาชนได้
ย่อมให้เกิดความหวาดกลัวอย่างยิ่งต่อประชาชน
ขอให้ท่านแสดงจุดยืนผ่านการเลือกตั้งเถิด
และถ้าอยากจะแสดงจุดยืนจริงๆ ขอให้แสดง
ในเวลาอีกหลายๆปีข้างหน้า สัก 10 ขึ้นไป
ที่เหตุการณ์สงบลงอย่างแท้จริงถือเป็นกาลดีที่สุด
แบบนั้นจะดีกว่าถือเป็นการแสดงความคิดเห็น
อย่างผู้ที่มีปัญญา ไม่สุมไฟให้มันคุกรุ่นไปกว่านี้
ความสงบที่แท้จริง คือ
สงบได้โดยไม่ใช้ความตายมาขู่เข็ญ
มีเสรีภาพในการแสดงออก
โดยไม่ต้องหวาดกลัวว่าใครจะมาปิดปาก
มีความยุติธรรม
ที่ประชาชนเห็นพ้องต้องกันว่าชอบธรรม
ความหลากหลายเห็นต่าง
ที่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ตกลงกันได้
ออกเสียง ส่งเสียง เลือกตั้ง ตามกฎกันได้
ในความเห็นของผมบ้านเมืองไม่สงบเท่าไรนัก
ผมยังเห็นไฟของใครต่อหลายคน
กำลังลุกหนักขึ้นเรื่อยๆ ผมว่าถ้าเป็นต่อไปเช่นนี้
คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ... ผมได้แต่ภาวนาว่า
ขอให้หันมาคุยกันด้วยใจอย่างแท้จริงด้วยเทอญ
โฆษณา