22 ต.ค. 2019 เวลา 12:58 • การศึกษา
"คนเราหนีไม่พ้นความตาย แต่ความหมาย
ของความตายนั้นไม่เหมือนกัน
บ้างก็ว่าหนักกว่าขุนเขา
บ้างไร้ค่าเบากว่าขนนก"
ความตายนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็จริงครับ
แต่ควาหมายของแต่ละคนมีคุณค่าและความหมายที่แตกต่างกันไป
บางคนยอมตายเพื่อ อุดมการณ์ ที่ยิ่งใหญ่ แม้จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ถือว่า
เป็นหนึ่งที่จุดประกายความเปลี่ยนแปลง
ต่างจากบางคนที่ตายเพราะเรื่องไร้สาระ นั้นถือว่าเป็นการตายที่ไร้คุณค่าอย่างยิ่ง ....
ดังเหตุการณ์ลอบสังหาร "มหาตมะ คานธี"
(30 มกราคม ค.ศ. 1948)
สำหรับมหาบุรุษผู้นี้ได้เสียสละตนเองและทรัพย์สินไปเป็นจำนวนมากให้
แก่ประเทศนี้ เพื่อหวังให้ประเทศอินเดียจะมีความก้าวหน้ามากกว่าที่เป็นอยู่
เหตุการลอบสังหารครั้งนี้เกิดจากการที่ มหาตมะ คานธี พยายามแก้ไขการขัดแย้งระหว่างชาวมุสลิมกับชาวฮินดูที่ในตอนนั้นดูเหมือนเหตุการณ์จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หากปล่อยไปจะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ
อย่างแน่นอน
สำหรับ มหาตมะ คานธี ซึ่งเป็นชาวฮินดูนั้นได้เปิดการเจรจากับฝ่ายมุสลิม
เพื่อให้เกิดการปรองดองขึ้น ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้อย่างยิ่งสำหรับกลุ่มชาวฮินดูหัวรุนแรงจำนวนหนึ่ง
โดยชาวฮินดูกลุ่มนี้เลือกที่จะสู้ตายกับชาวมุสลิมแทนการปรองดอง
จึงทำให้บทบาทของคานธี ไม่ต่างอะไรกับผู้ทรยศ
นั่นจึงทำให้เกิดการลอบสังหาร มหาตมะ คานธี หลายต่อหลายครั้ง
และในที่สุดก็ได้ผล ที่ผ่านมา มหาตมะ คานธี ก็รู้ตัวดีว่ากำลังถูกปองร้อย แต่ดูจะไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เพราะว่าเห็นชอบและเห็นว่าถูกต้องแล้ว
ถึงแม้จะต้องสละชีพของตนนั้นนับว่าเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนทั่วไป
มาจนถึง ณ ปัจจบุัน
"ความตายเป็นเพียงจุดสิ้นสุดของชีวิตท่านั้น ซึ่งทุกคนไม่สามารถลบเลี่ยงได้ ต้องเผชิญด้วยกันทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ ทำในระหว่างมีชีวิตนั้นสำคัญกว่า เพราะเป็นตัวกำหนดว่าชีวิตเรานั้นมีค่ามากเพียงใด"
เรียบเรียงใหม่จาก "คุณภัทระ ฉลาดแพทย์ "
โดย
"ตรรกะเหนือโคลนตม"
โฆษณา