29 ต.ค. 2019 เวลา 11:42 • ความคิดเห็น
จะเล่าเรื่องสมัยตอนไปดูงานที่ Cpall ให้ฟังค่ะ
สิ่งหนึ่งที่ยอมรับเลยว่า การที่เคทเข้าใจหลักการตลาด และมาสนใจตลาดหุ้นได้ ก็เพราะ 7-11 นี่แหละค่ะ
(ขอเกริ่นก่อนว่า ซีรี่ย์เรื่องนี้เป็นภาคก่อน อิชิตัน เป็นหนึ่งในซีรี่ย์ที่สนุกและเต็มไปด้วยข้อมูลความรู้ที่ไม่ควรพลาดเลยค่ะ)
1
อ่ะ !! ...เริ่มเลยละกันโน๊ะ 🤗🤗
สมัยนั้นยังละอ่อนมากค่ะ เป็นช่วงก่อนที่เคทจะสนใจเข้าตลาดหุ้น ก็เคว้งๆอยู่ งานที่รักจะทำ เช่น งานเขียน ก็ไม่ตอบโจทย์รายได้ จะทำงานบริษัทก็ไม่ชอบสังคม งานที่บ้านยิ่งไม่อยากทำ คือ ไม่อยากทำอะไรเลย 😅
ทีนี้จังหวะพี่สาวจะเปิด เซเว่น แล้วติดธุระไม่สามารถไปอบรมได้เลยขอให้เคทไปแทน ด้วยความที่ไม่ชอบงานจุกจิกวุ่นวายก็เลยปฏิเสธไป พี่สาวก็หว่านล้อมต่างๆนานาทั้งเอาของนู่นนี่นั่นมาล่อ แต่ก็หาทำให้เคทเปลี่ยนใจได้ไม่ สุดท้ายพี่สาวพูดขึ้นมาประโยคนึง
" แกไม่อยากรู้ know how ของเชนธุรกิจระดับโลกหรอ ? "
อืมมมม...เนอะ โอกาสนี้คงมีไม่บ่อย เท่านั้นแหละ
เคทก็ตกลงแบบเลี่ยงไม่ได้ 😄😄 ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด เซเว่นมีประมาณ 7 พันสาขาละ
1
ความคิดตอนนั้นคือ แค่เปิดร้านขายของชำ มันจะไปยากอะไร ระบบงานคงไม่มีอะไรมาก
แต่พอได้เข้าไปสัมผัสเรียนรู้ มันไม่ใช่อย่างที่คิดเลย
มันเปลี่ยนโลกทั้งใบของเราไปเลยค่ะ จะว่าแง้มกะลาเลยก็ได้
พูดง่ายๆเลยว่า ถ้าคุณต้องการท่องยุทธจักรการค้า 7-11 คือ สุดยอดคัมภีร์ธุรกิจที่คุณต้องศึกษา
บทที่ 1. การก้าวเข้าสู่อาณาจักร cpall
ก่อนที่คุณจะเปิดร้าน 7-11 ได้
มีเงินอย่างเดียวไม่พอนะคะ คุณต้องผ่านด่านการตรวจดูโหวงเฮ้ง และลายมือ จากซินแส ก่อนค่ะ !!
อย่างที่หลายคนคงพอรู้ ว่า เจ้าสัวเป็นคนเชื่อเรื่องพวกนี้มาก (จริงๆแล้วคนจีนส่วนใหญ่ก็เชื่อค่ะ และถ้าเป็นนักธุรกิจส่วนใหญ่ก็จะมีซินแสประจำบ้านด้วย)
ใช่ค่ะ ด่านแรก ที่คุณต้องเจอคือการดูดวง ดูลายมือจากซินแส ซินแสท่านจะบอกเราว่า คุณเหมาะแก่การทำธุรกิจนี้ไหม โดยจะเปรียบเทียบกับ นก แต่ละชนิด เช่น นกแก้ว นกฮูก เหยี่ยว นกอินทรี และอะไรอีกจำไม่ได้ละ 😅 นกแต่ละชนิดก็จะบ่งบอกนิสัยนั้นๆของเจ้าของ มีจุดเด่น จุดด้อยอย่างไรบ้าง เช่น เหยี่ยวก็จะตัดสินใจรวดเร็ว มุทะลุ มีความทะเยอทะยานสูง นกแก้วก็จะแบบปรับตัวเก่งไรงี้ ซึ่งเคทก็ว่าศาสตร์นี้ก็แม่นยำระดับนึงนะคะ (ค่าดูแพงมาก) แต่อย่างไรเสียเคทว่าทุกคนที่จะมาทำคงผ่านด่านนี้หมดอ่ะ คือถ้าฝืนทำเขาก็คงไม่ห้ามอ่ะค่ะ ถือว่าเตือนแล้ว 😅😅
1
หลังจากคุณผ่านการตรวจดูโหวงเฮ้ง ลายมือแล้ว ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการฝึกอบรม ขั้นตอนนี้จะแบ่งเป็นภาคทฤษฎีกับปฏิบัติ รวมแล้วประมาณ 1 เดือน
การฝึกนี้ก็จะฝึกที่ ปัญญาภิวัฒน์ ตรงแจ้งวัฒนะ
สำหรับคนที่อยู่ไกลก็สามารถพักที่นี่ได้เลย ที่นี่เป็นศูนย์การเรียนรู้ที่ครบวงจรมากๆค่ะ บรรยากาศที่พักก็อารมณ์คล้ายๆรีสอร์ทเลยค่ะ แต่ถ้าใครไม่อยากพักก็เดินทางไปกลับเอาเองได้
1
ภาคทฤษฎีจะแบ่งเป็นประมาณ 80% ภาคปฏิบัติ 20%
ที่ปัญญาภิวัฒน์จะอัดภาคทฤษฎีล้วนๆเลยค่ะ และปฏิบัติก็ลงร้านจริง ทำงานจริง โดยแบ่งทำ 2 กะ (เช้า/ดึก)
ภาคทฤษฎี ก็เปรียบได้กับคุณลงคอร์สการบริหารการตลาดใหม่อีกรอบอ่ะค่ะ จริงๆก็ไม่มีอะไรมาก ถ้าคุณเคยเรียนมาบ้างแล้ว แต่ถ้าคุณไม่เคย จะเป็นอะไรที่คุ้มมาก
อย่างเช่น....
ก่อนคุณจะเปิดธุรกิจค้าขายสักอย่างขึ้นมาเนี่ย เขาจะให้คุณทำแผนที่ก่อน คุณต้องวาดแผนที่ โลเคชั่นที่คุณจะเปิดร้านเปิดกิจการ แผนที่รัศมีอย่างน้อยสัก 1กิโลเมตร
คุณต้องเขียนให้ได้ ว่าทำเลของคุณนั้น ประกอบด้วยอะไรบ้าง มีโรงเรียนไหม มีหมู่บ้านกี่แห่ง บ้านประมาณกี่หลัง มีโรงงานไหม มีออฟฟิศไหม คุณต้องรู้อาณาบริเวณขอบเขตพวกนี้ก่อนค่ะ เพื่อคุณจะได้รู้ว่า ตลาดของคุณคือใคร !! เซกเม้นไหม สินค้าตัวไหนที่เหมาะสมที่สุด คู่แข่งมีใครบ้าง !! (เห็นความต่างไหมคะ เวลาที่คุณเปิดกิจการ คุณเคยสำรวจพวกนี้ไหม ?)
1
เวลา 7-11 เขาจะเปิด เขาก็ต้องสเก๊าท์โลเคชั่นก่อนค่ะ
ภาคทฤษฎีหลักๆก็จะเป็นการบริหารจัดการร้าน ว่าด้วยเรื่องบริการเป็นหลัก ถ้าคุณจบสายตรงเรื่องพวกนี้มาคงไม่เป็นปัญหา ตำราที่สอนกันมาก็เป็นหลักการเดียวที่ใช้กันทั่วโลกค่ะ ไม่พิศดาร สอนตั่งแต่การคัดสินค้าเข้าร้าน การจัดวางตำแหน่งสินค้า การแบ่งประเภท การดูแลรักษา ฯลฯ (ความรู้ตรงนี้เดวจะพยายามสอดแทรกให้ในเนื้อเรื่องนะคะ) เมื่อเรียนทฤษฎีเสร็จก็จะมีการเทสข้อสอบ ตรงนี้เคทคิดว่าคงไม่มีใครตกหรอก😅😅 แต่อย่างที่รู้กันว่าทฤษฎีนั้นง่าย แต่ปฏิบัติยากมากกกกก
1
ตอนเรียนทฤษฎีก็สนุกดีค่ะ แต่ตอนปฏิบัติคนละเรื่องเลย ดังนั้นขอพาลัดไปสู่ภาคปฏิบัติอันแสนสนุกและสุดโหดเลยแล้วกันเนอะ 😅😅
เข้าสู่ภาคปฏิบัติ
1
ตอนลงปฏิบัติเขาก็จะให้เราลงสาขาใกล้ๆกับทำเลที่เราเลือกจะเปิดนั่นแหละค่ะ ในงานของผู้บริหารร้าน จะเปรียบได้กับ ตำแหน่งผู้จัดการของร้านค่ะ ส่วนมากจะเน้นเรื่องของเอกสารและการสั่งออเดอร์ และดูแลพนักงานและมาตรฐานร้าน ดูเหมือนไม่ค่อยมีอะไร แต่ขอบอกเลยว่าโคตรยากกกกกกกก เวลางานที่คุณจะเคลียร์เรื่องพวกนี้ในแต่ละวัน อย่างน้อยๆคุณต้องมี 12 ชั่วโมงค่ะ เป็นงานรูทีน ที่กินพลังงานคุณอย่างบ้าคลั่งมาก
1
เคทจะแจกแจงแบบคร่าวๆให้ดูค่ะ
ว่าด้วยการสั่งออเดอร์
1
เพื่อให้คุณจินตนาการได้ คุณลองหลับตาแล้วนึกถึงสินค้าที่อยู่ใน 7-11 คุณลองคิดเล่นๆสิว่า ในร้านเล็กๆนั้นมีสินค้าประมาณกี่อย่าง คุณหลับตาจนตื่นมาอีกรอบก็นึกไม่หมดหรอกค่ะ 😅
เฉลยเลยละกัน สินค้าใน 7-11 มี 2,000กว่าชนิดค่ะ !!
ถ้าคุณโปรๆ คุณสามารถสั่งทั้งหมดได้ภายในเวลา 3 ชั่วโมง แต่เลเวลระดับนั้นคุณจำเป็นต้องมีประสบการณ์อย่างน้อยๆ ปีนึงค่ะ (ปีนึงคือเร็วที่สุดสำหรับการเทรินโปร)
หลายๆคนน่าจะเคยเห็น เครื่องที่พนักงานเขาจะมากดติ๊ดๆตรงสินค้าอ่ะ อันนั้นแหละค่ะ คือ อุปกรณ์สั่งสินค้า (pda) เจ้าอุปกรณ์ตัวนี้จัดว่าเป็นหนึ่งในนวัตกรรมอันล้ำค่าของ 7-11 เลยแหละค่ะ เพราะมันเป็นอุปกรณ์ที่รวบรวมข้อมูลสินค้าทุกอย่างที่ 7-11 มี พร้อมทั้งสถิติการขายและสามารถคำนวณ (forecast)ปริมาณการขายที่เหมาะสมได้ด้วย
3
แต่ถึงเครื่องจะฉลาดยังไงก็ยังต้องใช้มันสมองของเราอยู่ดีค่ะ เพราะปัจจัยภายนอกต่างๆที่เปลี่ยนแปลง เครื่องคอมมันไม่รู้กับเราค่ะ ดังนั้นการสั่งสินค้าจึงเป็นงานที่ละเอียดและสำคัญมาก เพราะมีผลต่อยอดขายโดยตรง
1
เพราะถ้าสั่งออเดอร์ขาด = ยอดขายไม่สามารถโตได้ สูญเสียโอกาสในการขาย เท่ากับเปิดโอกาสให้คู่แข่ง
1
ถ้าสั่งออเดอร์เกิน = คลังสินค้าจะบวม การจัดการคลังจะวุ่นวายขึ้นเพราะพื้นที่คลัง เป็นพื้นที่แชร์ร่วมกับสินค้าอื่นๆ การที่สต๊อคบวม ระบบ fifo จะทำงานยากขึ้น และจะนำมาซึ่งสินค้าตัดจ่ายได้
เรื่องการตัดจ่าย และยอดขาย ก็เป็นหน่วยวัด kpi ของเซเว่นด้วยนะคะ ถ้า kpi ไม่ผ่านมาตรฐาน คุณอาจโดนริบร้านคืน ไม่ต่อสัญญา หรือหมดสิทธิในการขยาย
เฟรนไชส์
การสั่งออเดอร์ ต่อให้คุณคิดว่าเรียบร้อยแล้ว แต่ ณ ขณะเวลาที่คุณกำลังสั่ง หรือกำลังจะส่งออเดอร์ โอกาสที่สินค้าเหล่านั้นจะมีคนมาซื้อเพิ่มก็เป็นไปได้เสมอ เพราะ 7-11 เปิด 24 ชั่วโมง !! ดังนั้นคุณก็ต้องมีความแม่นยำในสินค้าระดับนึง หรือตรวจเช็คอยู่เรื่อยๆจนกว่าจะไฟนอลออเดอร์
แค่การดูแลการสั่งสินค้าก็เหนื่อยแล้ว 😅
และพวกอุปกรณ์ซัพพลายต่างๆในร้าน เช่น แก้วน้ำโค้ก แก้วกาแฟ ถุงพลาสติก นำยาทำความสะอาด ของใช้ในร้าน ฯลฯ ก็ต้องสั่งเองด้วยนะคะ คือ ต้องเช็คทุกอย่างอ่ะ 😂
การสั่งสินค้าเป็นเรื่องสนุกและท้าทายมากนะคะ เคทชอบเรื่องนี้ที่สุดเลย เพราะถ้ามองในมุมการทำธุรกิจ การสั่งสินค้าจะเป็นการกำหนดการเติบโตของร้านได้เลยทีเดียว และวัดฝีมือการจัดการบริหารการคลังได้ด้วย
ทีนี้ก็เป็นเรื่องเอกสารที่มากับออเดอร์ที่เราสั่ง
เวลาสินค้ามาส่ง มันก็จะมาพร้อมเอกสารใช่ไหมคะ เราต้องทำการเช็คให้ละเอียด จะมาเชคมั่วๆไม่ได้นะคะถ้าร้านคุณขายดี นั่นหมายถึงสินค้าที่ส่งต่อวันจะมีปริมาณที่มาก การหลุดออเดอร์ก็ย่อมเป็นไปได้ ต้องตรวจสอบคุณภาพสินค้าว่าได้มาตรฐานไหมก่อนที่จะรับ จำนวนครบไหม หากขาดหรือเกินก็ต้องทำเอกสารแจ้ง
การทำเอกสารก็เป็นขั้นตอนที่ต้องละเอียดต้องพรูฟกันหลายรอบทีเดียว ขั้นตอนนี้จะต้องมีคนเช็คอย่างน้อย 2 คน (ขั้นตอนตรงนี้อาจให้ผู้ช่วยผู้จัดการร้าน ปฏิบัติร่วมกับหัวหน้ากะได้ค่ะ)
2
รถส่งสินค้าจะมีด้วยกันวันละ 3 คัน จะแบ่งเป็นสินค้า1)สินค้า dc (สินค้าที่ไม่ใช่อาหาร) 2)สินค้าฟู๊ด ไส้กรอก อาหารกล่อง นมสด ฯลฯ 3) สินค้าแคตตาล็อค พวกครีม อาหารเสริม ของเล่น ฯลฯ
1
เวลาของขาดถ้าเราแจ้งช้าโอกาสได้คืนก็จะช้าตามค่ะ
และถ้าเป็นสินค้าขายดี มันจะทำให้ยอดขายคุณหายไปวันนั้นเลย !!
2
วันนี้แค่นี้ก่อนละกันไว้ติดตามตอนต่อไปเร็วๆนี้ค่ะ
#เรื่องเล่าจังหวะชีวิต
มิ้วๆ
โฆษณา