2 พ.ย. 2019 เวลา 10:30 • ธุรกิจ
ผมประเมินความสุขจากอิสรภาพทางการเงินสูงเกินไป
ตั้งแต่ผมเริ่มต้นอ่านหนังสือพ่อรวยสอนลูกซึ่งทำให้ผมรู้จักกับคำว่า “อิสรภาพทางการเงิน” ด้วยแนวคิด “สะสมทรัพย์สิน” เพื่อสร้าง “กระแสเงินสด” เพื่อให้มีรายได้ที่เกิดจากการไม่ต้องทำงานตลอดเวลาและรายได้นั้นมากกว่ารายจ่ายในชีวิตประจำวัน ถ้าคุณทำได้เมื่อไหร่ คุณก็จะได้ออกจากสนามแข่งหนู และก้าวเข้าสู่โลกของการไม่ต้องใช้เวลาแลกเงินอีกต่อไป
ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะพาตัวเองก้าวเข้าไปสู่จุดนั้น ด้วยความเชื่อว่าถ้าหากเราสามารถพาตัวเองออกจากการวิ่งวุ่นทำงานหาเงินตลอดเวลาออกไปได้ ชีวิตของผมจะมีความสุข ผมจึงพยายามทำงาน หาเงิน ลงทุน อดออม สร้างทรัพย์สินทั้งบนโลกออนไลน์และออฟไลน์ มีอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า จนมี Passive Income เดือนละ 20,000 บาท ซึ่งมันชนค่าใช้จ่ายในชีวิตผมพอดีแบบเป๊ะๆ…!!! ในที่สุด 10 ปีที่เริ่มต้น ผมก็ทำสำเร็จ
แต่ผมไม่มีความสุขในชีวิตเลย
ทุกๆวันที่ผมตื่นขึ้นมา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตตัวเอง ผมมีเงินแล้ว ผมควรจะมีความสุขสิ แต่นี่นอกจากจะไม่มีความสุขแล้ว กลับรู้สึกว่าชีวิตตัวเองไร้ค่า ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน วันๆอยากนอนบนเตียงไม่อยากตื่น รู้สึกซึมๆตลอดเวลา เครียดแบบไม่มีสาเหตุ อยากนอนยาวๆโดยไม่อยากตื่น ทุกๆวันผมมีแต่ความรู้สึกแย่กับตัวเอง น่าแปลก ผมไปเที่ยวต่างประเทศก็แล้ว กินอาหารดีๆที่อยากกิน อ่านหนังสือที่ชอบ ดูหนังที่อยากดูทุกเรื่อง
สมองก็คิดไปเรื่อย คำสอนของหนังสือเล่มต่างๆเคยบอกเอาไว้ว่าเงินสามารถซื้อความสุขได้ มีเงินแล้วชีวิตจะมีความสุขนี่นา ทำไม ผมถึงไม่ประสบเหตุการณ์แบบนั้น
ดร นิเวศน์ได้เขียนเอาไว้ใน Blog ของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องอิสรภาพทางการเงินในชื่อเรื่อง “ความฝันของคนกินเงินเดือน” ซึ่งได้อธิบายถึงสภาวะ “Overestimate” หรือคาดหวังสูงเกินไปกับการที่จะบรรลุเป้าหมายทางการเงิน ผมถึงได้เข้าใจ…!!! เงินสามารถซื้อความสุขได้จริง เพราะผมก็ชอบตัวเองตอนมีเงินมากกว่าสมัยทำงานประจำที่ใช้เงินเดือนชนเดือน เพราะการมีเงินจะช่วยทำให้ผมมีทางเลือกในชีวิตมากยิ่งขึ้น สามารถเลือกได้ว่าอยากทำหรือไม่อยากทำอะไร
แต่ประเด็นก็คือสิ่งที่เรา “เลือก” นี่แหละ ที่จะกำหนดคุณภาพทางความรู้สึกของตัวเอง…!!!
ผมพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะนั่งทบทวนเรื่องราวต่างๆในชีวิต ว่าช่วงไหนเป็นช่วงที่มีความสุขจนไม่อาจลืมเลือน เก็บเงินได้ล้านแรกเหรอ ทำงานประจำวันแรก ไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรก ไม่เลย สิ่งเห่านั้นสร้างความสุขให้ผมก็จริง แต่ไม่ได้สร้างความสุขระดับสุดยอดจนเป็นความทรงจำชั่วชีวิตที่หยิบมาเล่าเมื่อไหร่ก็สลัดม่านหมอกในใจทิ้งไปได้
ท่ามกลางความมืดมิด แสงสว่างเล็กๆก็เล็ดรอดเข้ามาในหัว
สิ่งที่นึกออกมีเพียงอย่างเดียว เป็นความสุขสุดยอดที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตทุกวัน ความสุขที่ทำให้ผมรู้สึกถึงพลังชีวิตที่แท้จริง นั่นคือ ตอนที่ผมออกกำลัดงกายอย่างบ้าคลั่งเพื่อลดน้ำหนัก ร่างกายของผมมีสุขภาพดี กินอาหารด้วยความคิดโดยคาดหวังว่าจะมีสุขภาพดี เน้นกินผัก ปลา ไม่กินของทอด ของมัน รวมไปถึงของอร่อยที่ทำลายสุขภาพมากจนเกินไป ผมโชคดีที่เมื่อ 3 ปีที่แล้วผมอ้วน 2 ปีที่แล้วผมผอมจนมีกล้ามหน้าท้อง และปัจจุบันผมก็กลับมาอ้วนอีก ด้วยการอ้วนสลับผอมแบบปีต่อปี ทำให้ผมเปรียบเทียบความรู้สึกได้ดี
ถ้าร่างกายข้างนอกเราแย่ ร่างกายข้างในเราก็แย่
สุขภาพที่ดี = ความสุข
เรื่องตลกก็คือ การมีสุขภาพดี ไม่จำเป็นต้องมีเงินเป็นล้าน ขอแค่มีเวลาออกกำลังกายเท่านั้นพอ…!!!
ผมอยากมีความสุขโดยเชื่อว่าการมีอิสรภาพทางการเงินนั้นเป็นเส้นชัย แต่เอาเข้าจริง ถ้าย้อนนึกดีๆ ผมเข้าเส้นชัยเรื่องความสุขตั้งแต่รู้ตัวว่าอ้วนและตัดสินใจออกกำลังกายแล้ว นั่นหมายความว่าถ้าคุณกำลังค้นหาความสุขเพราะตัวเองไม่มีความรู้สึกดีกับตัวเอง คุณไม่จำเป็นต้องมี Passive Income มากมายก่อนหรอกครับ ขอแค่คุณตัดสินใจออกกำลังกาย และเลือกทำงานที่ไม่เครียดจนเกินไป คุณก็จะเข้าเส้นชัยได้ทันทีโดยไม่ต้องเข้าเส้นชัย
ผมโชคดีที่ผมเลือกวางแผนการเงินจนไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการเงินในตอนนี้ (อนาคตไม่แน่) ซึ่งนั่นทำให้ผมไม่ต้องกดดันตัวเองให้ทำงานที่ไม่ชอบตลอดเวลา ซึ่งมันทำให้ผมมีเวลาว่างมากพอที่จะกลับมาสนใจเรื่องสุขภาพอีกครั้ง ในทางงกลับกัน ถ้าผมสนุกกับการใช้เงินจนไม่เหลือเงินเก็บ และไม่มีรายได้จากการไม่ต้องทำงานเองตลอดเวลา ผมคงจะเครียดคูณสอง เพราะนอกจากจะเครียดเรื่องเงินแล้ว ยังเครียดเรื่องสุขภาพจิตด้วย
ดังนั้น ผมคิดว่า เงินสามารถซื้อความสุขได้ ก็ต่อเมื่อคุณมีเวลาใช้เงินไปกับสิ่งสำคัญของชีวิต ซื้อประสบการณ์ดีๆให้กับตัวเอง และมีเวลาว่างออกกำลังกายเท่านั้นเอง
เงินให้ความสุขกับคุณได้ แต่การออกกำลังกายให้ความสุขมากกว่าหลายเท่า เรื่องนี้ คุณต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองครับ
โฆษณา