5 พ.ย. 2019 เวลา 10:00 • ประวัติศาสตร์
พุทธประวัติ ตอนที่ 31
ทรงประชุมบารมี ๓๐ ทัศ เป็นเกราะแก้ว
และในบัดนี้...
เสียงสายฟ้าผ่าฟาดแตกลงพื้นพสุธาเสียงดังสนั่นหวั่นไหว กลุ่มเมฆาสีดำทมิฬก็ได้เคลื่อนที่หมุนรวมตัวกันเป็น
กลุ่มใหญ่ ปกคลุมบดบังแสงของจันทราจนมืดสนิท...
และภาพที่ ปรากฏขึ้นเบื้องบนท้องฟ้า ณ บริเวณต้นอัสสัตถะตอนนั้น ก็คือเหล่าของกองทัพพญามารนั่นเอง...
เสียงกลองรบดั่งกระหึ่ม พร้อมกับเสียงกู่ร้องข่มขวัญของเหล่าทัพมาร!!!
ลำดับนั้น...
พญาวสวัสตีมาร ก็ได้ขึ้นประทับบัญชาการอยู่บนคอของมหาคชสารเจ้าพญานามว่า (คีรีเมขล์) ซึ่งเป็นช้างต้นพระที่นั่ง มีร่างกายใหญ่โตสูงใหญ่ดุจดังขุนเขา และมากไปด้วยพละกำลังของจอมช้างศึก
พญามารนั้นก็ได้เนรมิตกายให้มีมือซ้ายและขวา ข้างละ 1,000 พร้อมด้วยศาสตราวุธเทพประจำอยู่ครบในทุกมือ
และได้เข้าบัญชาการให้เหล่าเสนามารทั้งหลายเตรียมพร้อมพุ่งทัพมุ่งเข้าประชิดติดตัวองค์พระสิทธัตถะในบัดดล
ขณะที่พญามาร...
ได้สั่งให้เหล่ามารทั้งหลายเข้าไปประชิดติดองค์พระสิทธัตถะ แต่ทว่าเหล่าหมู่มารนั้นก็ยังมิมีผู้ใดกล้าเข้าไปใกล้องค์พระโพธิสัตว์เลย
เมื่อพญาวสวัสตีมารเห็นดังนั้นจึงกล่าวประกาศปลุกระดมขึ้นว่า...
***ฮ่าๆๆ เหล่ามารผู้มากด้วยกำลังทั้งหลายเอ๋ย สิทธัตถะนั้น ก็เป็นเพียงแค่มนุษย์ ที่เกิดในเปลือกตมก็เท่านั้น จักยอมให้มาวางท่าดูหมิ่นเหยียดหยามพวกเราได้อย่างไรกันเล่า...
ท่านทั้งหลายจงอย่าได้เกรงกลัว
ไปเลย จงรีบกรีธาทัพเข้าไปจับ
สิทธัตถะแล้วทำการประหารเข่นฆ่า โดยการผ่าพระอุระ(ทอง) ควักดวงหทัย(หัวใจ)ออกมาบดขยี้ แล้วจับพระบาท(เท้า) ทั้งสองข้าง เหวี่ยงขว้างออกไปยังฝั่งมหาสมุทรฟากโน้นให้จงได้!!! ***
ตัดเหตุการณ์...
มาที่บริเวณ รอบต้นอัสสัตถพฤกษ์
ตอนนั้นเหล่าเทพเทวดาที่คอยมาเฝ้าอารักขา พระบรมโพธิสัตว์เจ้าอยู่โดยรอบนั้น เมื่อได้เห็นและได้ยินเสียงของพญามารที่มาพร้อมด้วยเสนากรีธาทัพอันยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม
อีกทั้งมีเสียงที่อื้ออึงกู่ร้องดังโกลาหนมืดมนไปทั่วทุกสารทิศ
ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยหมู่มาร ทำให้เทพยดาทั้งหลายพากันสะดุ้งหวาดกลัว และ
มิอาจจะสามารถทนอยู่สู้ประจัญหน้ากับเหล่าทัพมารได้แล้ว จึงได้รีบพากันเหาะหลีกหนีกันไปยังสุดขอบจักรวาล
แม้กระทั้งเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่...
ที่อยู่ ณ ที่นั้นเองก็เช่นกัน
ทั้งท้าวสุยามเทวราช
สันดุสิตเทวราช
ปัญจสิขรคนธรรพ์
พญากาฬนาคราช
และแม้แต่ท้าวสหัมบดีพรหม
ก็ยังต้องรีบเหาะหนีกลับสู่พรหมโลกทันที เหลือทิ้งไว้ก็แต่เพียง พระบรมโพธิสัตว์เจ้าที่ประทับอยู่โดดเดี่ยวเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น...
ลำดับนั้น...
เมื่อพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ได้ทรงทอดพระเนตรไปรอบทุกทิศ ก็เห็นแต่เพียงเหล่าหมู่มารจักเข้ามาโยธาย่ำยี ประหนึ่งว่าจักยังให้โพธิมลฑลนี้ให้แหลกเป็นผง
บัดนี้มีเพียงพระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่จะต้องทำการยุทธนาสู้รบกับหมู่มารเหล่านั้น...
จะมองหาวงศาคณาญาติหรือเพื่อนมิตรสหายแม้แต่ผู้เดียวก็ไม่มี ขนาดเหล่าเทพยาทั้งหลายก็ยังต้องพากันหลีกหนีหลบไปจนหมดสิ้น
จะหาสิ่งอันที่พอจะเป็นที่พึ่งอื่นใดแก่พระองค์นั้นก็ไม่มีเลย...
ด้วยเหตุนี่เอง...
พระบรมโพธิสัตว์เจ้าจึงได้หวนรำลึกนึกถึง พระสมติงสบารมี ทั้ง 30 ทัศ ที่พระองค์นั้นได้ทรงบำเพ็ญมาเป็นเวลาช้านาน ธรรมเหล่านี้อาจพอที่จะนำมาช่วยเป็นอาวุธและเป็นโล่กำบัง เข้าทำยุทธนาชิงชัยกับเหล่าหมู่มารทั้งหลายได้
ครั้นแล้ว..
พระบรมโพธิสัตว์เจ้าจึงได้ตรัสเรียกพระสมติงสบารให้มาประชุม
พร้อมกันที่พระองค์
พระบรมโพธิสัตว์เจ้าตรัสเปล่งวาจาขึ้นว่า :
***อาตมาได้เคยตัดศีรษะให้เป็นทาน ถ้าจักนับรวบรวมได้ ก็จักมากกว่าผลไม้ใหญ่มีผลมะพร้าวเป็นต้นในแผ่นดินนี้
อาตมาได้เคยควักดวงเนตรให้เป็นทานในชาติต่างๆ ที่ผ่านมา มีชาติที่เป็น(พระยาสีวิราช) เป็นต้นนั้น
ถ้าจักนับก็มากกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า
อาตมาได้เคยให้เนื้อเป็นทาน ถ้าจักนับก็มากกว่าผืนแผ่นดินทั้งสิ้น
อาตมาได้เคยให้โลหิตเป็นทาน ถ้าจักนับก็มากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง 4
ขอเดชอำนาจแห่งทานบริจาคทั้งหมดนี้จงบันดาลให้หมู่พญามารไพรี จงปราชัยแก่อาตมาในบัดนี้เถิด***
เมื่อพระองค์ตรัสเสร็จแล้ว
บรรดาพระสมติงสบารมีต่างๆ ก็มาประชุมห้อมล้อมองค์พระโพธิสัตว์เจ้าไว้ เพื่อป้องกันภัยพิบัติต่างๆ จากมารไพรี
ซึ่งพระองค์ทรงกระทำพระบารมีเหล่านี้เป็นอาวุธต่อยุทธนากำจัดเหล่าหมู่มารให้พ่ายแพ้ โดยพระองค์นั่นมิได้มีพระทัยสะดุ้งหวาดหวั่น มิได้คิดที่จักเสด็จลุกหนีจากรัตนบัลลังก์เลย ทว่าพระองค์นั้นยังคงมีพระทัยมั่นสงบนิ่งประดุจว่ามิมีอะไรเกิดขึ้น
ตัดเหตุการณ์...
มาทางฝ่ายพญามาร
เมื่อพญามาราธิราชได้เห็น พระมหาบุรุษยังคงประทับด้วยอาการปกติเช่นนี้ ก็ยิ่งเกิดมีความพิโรธโกรธอย่างรุนแรงขึ้นอีกเป็นกำลัง!!!
จึงได้สั่งให้เสนามารเข้าโจมตีทันทีด้วย ศาสตราวุธร้ายต่างๆ อีกทั้งพญามารยังได้ บันดาลให้ห่าฝน 7 ประการตกกระหน่ำลงมาจากอากาศธาตุ ได้แก่
1. ห่าน้ำฝนธรรมดาจนน้ำบ่าท่วมป่าท่วมภูเขา
2. ห่าฝนถ่านเพลิง
3. ก่าฝนเถ้ารึงในกุกกุนรก
4. ห่าฝนก้อนศิลา
5. ห่าฝนอาวุธชนิดต่างๆ
6. ห่าฝนกรวดทรายติดเปลวไฟ
7. ห่าฝนเปือกตมน้ำร้อน
ด้วยพลังอิทธิฤทธิ์ของสรรพวุธเหล่านี้ที่กระหน่ำซัดตกลงมานั้น
นอกจากจะไม่สามารถทำอันตรายใดๆ แก่พระบรมโพธิสัตว์เจ้าได้เลย แม้แต่เพียงชายจีวรของพระองค์นั่น ก็มิสั่นไหว
อีกทั้งเมื่อห่าฝนและอาวุธต่างๆนั้นที่ตกลงเข้าใกล้พระวรกายของพระองค์ ก็กลับกลายเป็นดอกไม้พวงมาลาทิพย์ บูชาเรียงรายแทบบาทมูลแห่งองค์พระโพธิสัตว์เจ้าจนหมด
ไม่ว่าพญามาราธิราชและเหล่าเสนามารจะขว้างปล่อยอาวุธชนิดใดออกมา ก็จะกลับกลายเป็นเครื่องสักการบูชาไปทั้งสิ้น!!!
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
หากมีข้อผิดพลาดประการใด ก็ขออภัย ท่านผู้อ่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
หากท่านผู้ใดชอบ ก็ขอฝากติดตามอ่านตอนต่อไปด้วยนะขอรับ ^-^
ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านผู้อ่านขอธรรมของพระพุทธองค์จงมีแด่ ท่าน สาธุครับ (ต้นธรรม)
เอกสารอ้างอิง
#หนังสือ.ปฐมสมโพธิกถา
#หนังสือพุทธประวัติตามแนวปฐมสมโพธิ (พระครูกัลยาณสิทธิวัฒน์)
#เพิ่มเติมเนื้อหาใหม่/ภาพประกอบ.ต้นธรรม
#Facebook Page🔜 :
โฆษณา