11 พ.ย. 2019 เวลา 05:12 • ธุรกิจ
จะสนุกแค่ไหน ถ้าเราเลือกตอนจบของหนังได้ ในโรงภาพยนตร์
สำหรับคนที่เคยดูภาพยนตร์อย่าง Black mirror : Bandersnatch ที่มีให้ชมทาง Netflix คงทราบดีว่า เราสามารถเป็นผู้กำหนดเส้นเรื่องของหนังได้ เช่น อยากให้ตัวเอกทำอะไร ไปที่ไหน ตัดสินใจแทนตัวละครได้เลย โดยหนังจะมีตัวเลือกให้เราต้องตัดสินใจ ภายในระยะเวลาที่กำหนด
แล้วจะสนุกแค่ไหน ถ้าเราเอากลไกของหนังประเภทนี้ มาอยู่ในโรงภาพยนตร์
ก่อนอื่นขอบรรยายวิธีทำให้หนังประเภทนี้มาอยู่ในโรงภาพยนตร์ก่อนนะครับ
- การดูหนังในโรงภาพยนตร์นั้น เป็นการที่เราดูร่วมกับผู้อื่น ดังนั้น แน่นอนว่าเราจะตัดสินใจคนเดียวไม่ได้ แต่ต้องตัดสินใจร่วมกันเป็นกลุ่ม สมมติในโรงภาพยนตร์มีคนดู 40 คน แน่นอนว่า ฝั่งตัวเลือกที่ได้รับการเลือกมากกว่า 20 ย่อมได้สิทธิ์เป็นผู้กำหนดเนื้อเรื่อง ซึ่งถ้าคุณเป็นฝั่งคนส่วนน้อย ก็ต้องยอมรับเสียงของคนส่วนใหญ่ แล้วถ้าเสมอกันล่ะ ก็ต้องมีกฎเพิ่มเติมเข้ามา ซึ่งเอาไว้คิดอีกที
- แต่แน่นอนว่าในการเลือกนั้น คงจะไม่ใช่การยกมือ ขานชื่อเป็นแน่แท้ โรงภาพยนตร์ต้องมีปุ่มติดอยู่กับเก้าอี้ ซึ่งการออกแบบเรื่องนี้สำคัญมาก ต้องคิดมาอย่างดีว่า ถ้าผู้ชมกดผิดจะเปลี่ยนได้ไหม ทำยังไงจะไม่ให้ผู้ชมต้องละสายตาจากจอมากดปุ่ม หรือเรื่องอื่นๆที่จะตามมาอีก เอาไว้คิดต่อ น่าสนุกดี
- ต้องมีการอธิบายกฏกติกา และวิธีการรับชมก่อนเสมอ
เท่านี้ก็พร้อมรับชมภาพยนตร์รูปแบบใหม่กันแล้ว
ต่อมาจะพูดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น หากมีหนังแนวนี้ในโรงภาพยนตร์จริง
1.มันจะไม่ใช่หนังที่ดูแค่เพียงครั้งเดียวแล้วจบอีกต่อไป โดยหนังทั่วไปก็อาจจะมีอยู่บ้าง ที่เราจะไปดูหนังเรื่องเดิมหลายรอบ เพื่อเก็บรายละเอียด
แต่สำหรับหนังประเภท ที่ผู้ชมเป็นคนเลือกเส้นเรื่องเองนั้น บอกเลยว่าคุณอาจต้องเสียเงินหลักหมื่น หากต้องการดูทุกฉากที่ผู้กำกับใส่มา
แล้วมันดียังไง แน่นอนว่าถ้าคนสามารถดูหนังเรื่องเดียวได้หลายรอบ รายได้ของหนังก็ย่อมดีตามไปด้วย
2.คนดูจะได้ประสบการณ์ของหนังที่แตกต่างกันไปในแต่ละรอบที่ดู คนที่เข้าไปดูรอบเช้ากับรอบบ่ายโมง อาจได้รับอรรถรสของหนังที่แตกต่างกัน เรียกได้ว่า จะชอบหรือเกลียดหนัง ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตา และคนที่เป็นผู้กำหนดก็คือพวกคุณเอง
แล้วมันคงสนุกดี ถ้าไปคุยเรื่องหนังเดียวกันกับเพื่อนที่ทำงาน แต่เนื้อเรื่องมันไปคนละทาง
3.ผู้กำกับ นักแสดงและคนเขียนบทคงต้องทำงานหนักกว่าเดิมหลายเท่า เอาที่ผู้กำกับและนักแสดงก่อน จากเดิมที่หนังเรื่องนึงในเวลา 1 ปีในการถ่ายทำ มันก็อาจกลายเป็น ปีครึ่งถึงสองปีได้เลย
แต่ที่น่าหนักใจที่สุดคือคนเขียนบท เพราะการเขียนบทที่จบแบบเดียวให้สนุกก็ว่ายากแล้ว แต่นี่จบได้หลายแบบ แล้วแต่ละแบบก็สามารถสร้างปมของตัวละครที่แตกต่างกัน ดังนั้นถ้าเขียนบทไม่ดี บางเส้นเรื่องก็อาจไม่สนุกไปเลย
หนังเรื่องเดียวอาจเป็นได้ทั้งหนังรัก หนังบู๊ หนังผี แยกกันแต่ละเส้นเรื่องไปเลยก็ได้
ถ้าสิ่งที่ผมคิดเกิดขึ้นจริง มันจะ Disrupt วงการอะไรบ้าง
1.วงการภาพยนตร์คงระเบิดแน่นอน ลองคิดดูว่าถ้าจะให้รางวัลภาพยนตร์ แต่ในภาพยนตร์เรื่องเดียวกันก็มีเส้นเรื่องทั้งที่สนุกและไม่สนุกอยู่ด้วย คุณจะให้รางวัลยังไง
2.นักวิจารณ์ เอาเป็นว่าถ้าคุณไม่ได้ดูครบทุกช๊อตของหนัง คุณคงไม่กล้าวิจารณ์หนังได้อย่างเต็มปาก
3.ภาพยนตร์เถื่อน ไม่ต้องกังวลว่าหนังจะหลุด หรือพวกมาซูมในโรงภาพยนต์ เพราะซูมไปก็รู้ได้แค่เส้นเรื่องเดียว นอกจากพวกนั้นจะขยันจริงๆ
สุดท้ายแล้วมันจะไปได้ไหมก็ขึ้นอยู่กับคนดู แต่มันคงไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ ถ้าโรงภาพยนตร์และผู้สร้างไม่ร่วมมือกัน
ผมคิดว่ามันน่าสนุกดี แต่ก็ยังมีช่องโหว่อยู่หลายจุด ลองคอมเม้นมาคุยกันครับ
#outside
โฆษณา