8 พ.ย. 2019 เวลา 05:57 • ประวัติศาสตร์
ประวัติศิษย์ขงจื่อ (ฉบับสมบูรณ์)
หมิ่นจื่อเขียน (閔子騫)
หมินจื่อเชียน ชื่อสุ่น แซ่หมิ่น ฉายาจื่อเชียน อายุอ่อนกว่าขงจื่อ ๑๕ ปี เป็นหนึ่งในสิบปราชญ์แห่งสำนักขงจื่อในหมวดคุณธรรม เป็นเจ้าของวาทะ แม่อยู่หนึ่งบุตรหนาว แม่ไปสามบุตรเศร้า ใน ๒๔ กตัญญู โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
หมินจื่อเชียนกำพร้ามารดามาแต่เด็ก ภายหลังบิดาได้แต่งงานกับภรรยาใหม่และมีบุตรด้วยกันอีกสองคน ในฤดูหนาวของปีหนึ่ง แม่เลี้ยงของหมินจื่อเชียนได้ทำเสื้อกันหนาวให้แก่ลูกทั้งสาม โดยเสื้อกันหนาวของลูกตนยัดด้วยเนื้อสำลีอย่างดี หากเสื้อกันหนาวของหมินจื่อเชียนกลับยัดด้วยดอกหญ้าธรรมดาที่มิอาจกันหนาวได้
วันหนึ่ง บิดาสั่งให้หมินจื่อเชียนจูงรถม้า เนื่องด้วยอากาศเหน็บหนาวเต็มกำลัง หมินจื่อเชียนจึงมิอาจจับบังเหียนให้กระชับได้ บิดาเข้าใจว่าหมินจื่อเชียนอ่อนแอไร้ความสามารถ จึงเฆี่ยนตีหมินจื่อเชียนด้วยอารมณ์โทสะจนเสื้อกันหนาวขาดวิ่น ครานั้นความจริงจึงได้ปรากฏ บิดาหมินจื่อเชียนรู้สึกโกรธภรรยาตนที่เลี้ยงดูลูกอย่างไม่ยุติธรรม จึงทำการขับไล่ภรรยาออกจากบ้าน หมินจื่อเชียนรีบเข้าไปคุกเข่าอ้อนวอนว่า “แม่อยู่หนึ่งบุตรหนาว แม่ไปสามบุตรเศร้า ขอให้ท่านบิดาโปรดเมตตาด้วยเถิด” บิดาหมินจื่อเชียนรู้สึกเห็นใจจึงให้อภัย หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น แม่เลี้ยงเกิดความรู้สึกละอายใจและปฏิบัติต่อหมินจื่อเชียนด้วยความรักใคร่เอ็นดูเสมอมา
หมินจื่อเชียนไม่เพียงแต่มีกิตติศัพท์ด้านกตัญญูจนเป็นที่เล่าขานในทุกครัวเรือนและเป็นตัวอย่างที่พ่อแม่นำมาอบรมลูกหลานเท่านั้น หากท่านยังมีคุณธรรมเป็นที่ประจักษ์ไปทั่วหล้าอีกด้วย ดังนั้นอุปราชจี้หวนจื่อจึงมีประสงค์เชิญหมินจื่อเชียนมารับราชการ แต่สำหรับหมินจื่อเชียนที่รักความสมถะไม่ใฝ่หาในลาภสักการะแล้ว ก็หาได้รู้สึกยินดีต่อโอกาสที่ได้มาไม่ หากท่านกลับปฏิเสธการเชิญชวนอย่างไม่ไยดี แต่จี้หวนจื่อก็ยังคงส่งคนมารบเร้าอยู่มิขาด หมินจื่อเชียนจึงกล่าวว่า “อย่าบังคับข้าอีกเลย หากยังบังคับข้าอีก ข้าก็จะหนีไปอยู่ที่ริมแม่น้ำเหวินสุ่ยในแคว้นฉี” เนื่องด้วยท่านมีคุณธรรมอันสูงส่ง ดังนั้นจึงถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสิบปราชญ์ในหมวดคุณธรรมแห่งสำนักขงจื่อคู่กับเหยียนหุย หยั่นป๋อหนิวและหยั่นยง
มีเรื่องล่ำลือเกี่ยวกับหมินจื่อเชียนอยู่เรื่องหนึ่งคือ ในสมัยแรกที่หมินจื่อเชียนศึกษาธรรมกับขงจื่อนั้น หมินจื่อเชียนมีสีหน้าอันซีดเซียว แต่ครั้นเวลาผ่านไป ใบหน้าจึงแดงเรื่อดูสดใส จื่อก้งรู้สึกแปลกใจจึงถามไถ่ซึ่งสาเหตุ หมินจื่อเชียนได้บอกเล่าประสบการณ์ของตนว่า “ในวาระเริ่มต้นที่ศึกษาธรรม ข้ารู้สึกว่าจิตใจสูงส่งยิ่ง จึงมุ่งมั่นทุ่มเทอย่างสุดกำลัง แต่ครั้นห่างจากอาจารย์เข้าสู่สังคมอันวิจิตรแล้ว ได้เห็นรถม้าอันสวยงามของเหล่าเจ้าขุนมูลนาย มีบาทบริจาริกาห้อมล้อมหน้าหลังไว้ใช้สอยมิขาดสาย ในตอนนั้นจิตใจของข้าจึงเริ่มสับส่ายไม่หยุดนิ่ง ไร้ความมานะในอริยมรรคเหมือนเช่นอดีต สีหน้าจึงหมองหม่นไร้ราศี แต่ต่อมาเนื่องด้วยอาจารย์ได้ให้การชี้แนะ อีกด้วยเพราะสหายธรรมได้ให้ความเอ็นดู จึงรู้ว่าทรัพย์ศฤงคารเป็นดุจอาจม หากคุณธรรมต่างหากที่เป็นดั่งทองที่หาเปรียบค่ามิได้ แต่นั้นมา จิตใจจึงเกิดความปีติอย่างมิอาจบรรยาย สมบัติพัสถานจึงประดุจเช่นหมอกควันอันไร้ความหมาย ใบหน้าจึงผ่องใสร่าเริงแต่นั้นมา”
ขงจื่อเคยชมหมินจื่อเชียนว่าเป็นผู้ที่มีวาจาเที่ยงตรง เหตุเพราะหมินจื่อเชียนปกติจะเป็นคนที่เงียบขรึม แต่ครั้นถึงคราวที่ต้องแสดงความเห็นเพื่อปกป้องผลประโยชน์แห่งประชาชนแล้ว หมินจื่อเชียนหาเคยรีรอไม่ ดังเช่นครั้งหนึ่ง สามอิทธิพลคือ จี้ซุน สูซุนและเมิ่งซุนร่วมคบคิดวางแผนริดรอนพระอำนาจแห่งเจ้าแคว้นหลู่ จึงเสนอให้ก่อสร้างพระคลังมหาสมบัติและทำการเปลี่ยนชื่อเสียใหม่ ครั้นหมินจื่อเชียนทราบข่าวก็รีบเข้าห้ามปรามว่า “หากให้คงแบบเก่า จะเป็นไรฤๅ ? ไยต้องเปลี่ยนเสียใหม่ด้วย ?” เมื่อขงจื่อทราบก็กล่าวชมว่า “ปกติคน ๆ นี้ไม่ช่างพูด ครั้นพูดก็จะเปี่ยมด้วยพลังและเหตุผล (บทเซียนจิ้นตอนที่ ๑๓)”
หมิ่นจื่อเชียนแม้นไม่ได้รับราชการ แต่ด้วยคุณธรรมบารมีอันน่ายกย่อง ลูกหลานของท่านกลับได้เป็นถึงเจ้าใหญ่นายโตที่เกาหลีเลยทีเดียว
ตามสาแหรกตระกูลหมิ่นที่บันทึกไว้นั้น อนุชนลูกหลานตระกูลหมิ่นนามว่าหมิ่นเชิงเต้า (閔稱道) ได้เป็นราชทูตเจริญสัมพันธไมตรีที่เกาหลี ภายหลังได้ตั้งรกรากที่ยิวจุ (Yeoju ; 驪興) และกลายเป็นตระกูลใหญ่ที่ทรงอิทธิพลอย่างมากที่นั่น
ตระกูลหมิ่นไม่เพียงแต่เป็นผู้ทรงบารมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่ลูกหลานบางคนในสายตระกูล ยังทรงอำนาจสูงถึงระดับชนชั้นเจ้าฟ้าอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่นสมเด็จพระราชินีอินฮย็อน (Hangul: 인현왕후, Hanja: 仁顯王后) (1667–1701) เป็นพระมเหสีพระองค์ที่สองในพระเจ้าซุกจงแห่งโชซอน และเป็นหนึ่งในราชินีที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดของราชวงศ์โชซอน
อีกท่านหนึ่งคือ สมเด็จพระจักรพรรดินีมย็องซ็องแห่งเกาหลี หรือสมเด็จพระราชินีมย็องซ็องแห่งโชซอน (명성황후; 明成皇后) (1851–1895) เป็นพระอัครมเหสีของจักรพรรดิควางมูแห่งจักรวรรดิเกาหลี (พระเจ้าโกจง) พระจักรพรรดินีมย็องซ็องทรงมีบทบาทอย่างมากในการปกครองและปฏิรูปประเทศในช่วยปลายสมัยราชวงศ์โชซอน และเรื่องราวของพระนางยังคงเป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญในด้านการต่อสู้ของวีรสตรีผู้รักชาติ
โฆษณา