9 พ.ย. 2019 เวลา 12:42 • กีฬา
ไขคำตอบผ่านวิทยาศาสตร์ : ทำไมลูกทุ่มของ รอรี ดีแลป จึงอันตรายเทียบเท่าฟรีคิก?
ย้อนกลับไปเมื่อราว 10 ปีก่อน รอรี ดีแลป กองกลางของสโต๊ค ซิตี้ ทีมระดับกลางตารางของพรีเมียร์ลีก ได้สร้างปรากฎการณ์ขึ้นในวงการฟุตบอลอังกฤษ เมื่อสองมือของเขาอันตรายกว่าสองเท้าที่ใช้หวดฟุตบอลเสียอีก
ลูกทุ่มไกลของดีแลป เป็นหนึ่งในสิ่งที่หลายทีมต่างพากันหวาดกลัว ไม่ว่าจะทีมเล็กหรือทีมใหญ่ ต่างถูกลูกทุ่มของดาวเตะชาวไอริชเล่นงานกันแบบโงหัวไม่ขึ้น จนมีส่วนสำคัญที่ทำให้สโต๊ค โลดแล่นอยู่บนลีกสูงสุดเกือบครึ่งทศวรรษ ตอนที่เขาอยู่ที่นั่น
อะไรที่ทำให้มันกลายเป็นอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพ เทียบเท่า (หรือบางทีอาจจะมากกว่า) ฟรีคิกและเตะมุม ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกับ Main Stand
พูลิสบอล
หากพูดถึงสไตล์การเล่นของฟุตบอลอังกฤษดั้งเดิม ภาพจำของพวกเขาคือฟุตบอลที่เน้นการเล่นแบบไดเร็คต์ เข้าทำด้วยลูกโด่งที่อาศัยปีกที่คล่องแคล่ว โยนให้กองหน้าที่มีรูปร่างสูงใหญ่ทำประตู
แม้ว่าในช่วงหลังรูปแบบการเล่นจะพัฒนาตามยุคสมัย โดยเฉพาะทีมในยักษ์ใหญ่ในพรีเมียร์ลีก ที่ได้รับอิทธิพลจากโค้ชต่างชาติ แต่สำหรับทีมกลางตารางลงไป กลยุทธ์แบบนี้ยังมีความสำคัญ และเป็นหนึ่งในแทคติกที่ใช้ต่อกรกับพวกบิ๊กเนม
หนึ่งในนั้นก็คือ สโต๊ค ซิตี้ ภายใต้การคุมทัพของ โทนี พูลิส ที่เข้ามาคุมทีมเป็นคำรบสองในฤดูกาล 2006/07 ในสมัยที่ทีมยังอยู่ในเดอะ แชมเปียนชิพ ก่อนจะพาช่างปั้นหม้อเลื่อนชั้นด้วยตำแหน่งรองแชมป์ในฤดูกาลถัดมา
สไตล์การเล่นของเขาเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ “พูลิสบอล” มักจะมากับแผน 4-4-2 ยามไม่มีบอลเขาจะสั่งให้ผู้เล่นถอยลงต่ำ และอยู่กันเป็นแผง เป็นรูปแบบที่รัดกุม เพื่อให้เหลือพื้นที่ระหว่างกองกลางและกองหลังน้อยที่สุด
แผนของเขาบีบให้คู่แข่งต้องใช้ปีก และครอสบอลเข้ามา ซึ่งพูลิส ก็เชื่อมือในแนวรับที่สูงใหญ่ของเขา ที่นำโดย ไรอัน ชอว์ครอส อดีตเด็กปั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีส่วนสูง 191 เซนติเมตร จะจัดการเอาไว้ได้ทั้งหมด
ส่วนในเกมรุก สโต๊คของพูลิส จะเล่นบอลสไตล์สาดยาว โดยใช้กองหน้ารูปร่างสูงใหญ่ หากเจอกับทีมที่รับมือกับลูกโยนได้ดี บางครั้งเขาจะใช้กองหน้าตัวที่สามที่เล่นเป็นกองกลางคนที่สี่ตอนที่ไม่ได้ครองบอล เป็นตัวสอดแทรกเข้าไปทำประตู และกุญแจสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับรูปแบบการเล่นนี้ก็คือ รอรี ดีแลป
ดีแลป ไม่ได้เป็นนักเตะโนเนม เขาเริ่มโด่งดังมาตั้งแต่สมัยค้าแข้งให้กับ ดาร์บี เคาน์ตี และ เซาธ์แฮมป์ตัน แต่เขาเป็นนักเตะประเภทความชั่วไม่มีความดีไม่ปรากฎ จึงไม่ได้รับการพูดถึงมากนักก่อนหน้านั้น
เขาย้ายมาร่วมทีมสโต๊คครั้งแรกในปี 2006 ด้วยสัญญายืมตัว หลังต้องตกเป็นส่วนเกินในทีม ซันเดอร์แลนด์ ของ รอย คีน และเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด หลังลงเล่นให้ทีมไปเพียงแค่ 2 นัด เขาดันบาดเจ็บหนักขาหัก 2 ท่อนจากการเข้าปะทะ จนต้องพักยาวจนจบฤดูกาล
อย่างไรก็ดี แม้ว่าเขาจะมีอาการบาดเจ็บ จนต้องส่งตัวกลับทีมเก่า แต่ พูลิส ก็ตัดสินใจเซ็นสัญญาดึงตัวดีแลปมาเล่นให้สโต๊คเป็นการถาวร ราวกับรู้ล่วงหน้าว่าเขาจะใช้งานนักเตะคนนี้อย่างไร
และดีแลป ก็ไม่ทำให้ความเชื่อใจในตัวพูลิสต้องสูญเปล่า
ลูกทุ่มป่วนพรีเมียร์ลีก
ภายใต้การคุมทีมของ พูลิส ที่คงรูปแบบสไตล์การเล่นแบบโบราณ และเน้นการโยนโหม่ง ทำให้ ดีแลป เปลี่ยนสถานะจากนักเตะทั่วไป กลายมาเป็นนักเตะที่ขาดไม่ได้ของสโต๊ค เขาลงเล่นไป 44 เกมจาก 46 นัดในฤดูกาล 2007/08 ช่วยให้ทีมคว้ารองแชมป์เดอะ แชมเปียนชิพ พร้อมได้สิทธิ์เลื่อนชั้น
และเพียงฤดูกาลแรกในพรีเมียร์ลีก เขาก็สถาปนาตัวเอง ขึ้นมาเป็นตัวสร้างเกมของสโต๊ค เขาไม่ได้เป็นนักเตะเท้าชั่งทอง แบบ เดวิด เบ็คแคม หรือปีกจอมลากเลื้อย แบบ สตีฟ แม็คมานามาน แต่อดีตแชมป์พุ่งแหลนระดับเยาวชน มีการทุ่มบอลที่ทรงพลัง และแม่นราวกับมีเรดาร์
เขามีส่วนร่วมกับทั้ง 7 ประตูที่สโต๊คทำได้ในเดือนแรกของฤดูกาล 2008/09 และอีกหลายประตูในฤดูกาลนั้น จนลูกทุ่มไกลของดีแลป กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงเกือบทุกสัปดาห์ ทุกครั้งที่ทีมได้ทุ่ม เด็กเก็บบอลจะโยนผ้าขนหนูให้กับดีแลป เขาจะเช็ดบอลให้แห้ง ส่งผ้าคืน แล้วทุ่มเข้าไป และต่อจากนั้นก็คือประตู
“ถ้าทำได้ถูกต้อง ไม่มีทางที่จะป้องกันมันได้ ไม่ต้องสนใจว่าจะเจอกับทีมอะไร มันต้องได้ผล หากผมได้ทำในระยะทำการ” ดีแลปกล่าวกับ The Independent
ในชัยชนะนัดแรกของฤดูกาล ที่เอาชนะ แอสตัน วิลลา อย่างสนุก 3-2 ก็มีส่วนมาจากเขา ประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ หลังโดนวิลลา ตีเสมอในนาทีที่ 84 ก็มาจากจังหวะที่ ดีแลปทุ่มไกลให้ มามาดี ซิดิเบ โหม่งเข้าไป
หรือในเกมพบ เอฟเวอร์ตัน แม้จะต้องพบกับความพ่ายแพ้ 2-3 แต่เขาก็ทำให้ ทิม ฮาเวิร์ด ผู้รักษาประตูของคู่แข่งต้องหัวปั่นตลอดทั้งเกม เมื่อทั้งสองประตูที่ได้มา มีจุดเริ่มต้นจาก ดีแลป ด้วยกันทั้งสิ้น
โดยลูกแรก ฮาเวิร์ด ตัดสินใจพลาด ออกไปชกบอลของดีแลปที่ทุ่มเข้ามา ก่อนที่จะโดน เซยี โอโลฟินยานา ยิงสวนเข้าไป ส่วนอีกลูกมาจากจังหวะที่นายทวารทีมชาติสหรัฐอเมริกา กำลังสับสน ปักหลักอยู่ในเส้น แล้วบีบให้ ฟิล จากิลกา ไปโหม่งเคลียร์ แต่โชคร้ายมันกลับเข้าประตูตัวเอง
“เขาเหมือนกับมนุษย์เครื่องยิงหนังสติ๊ก” เดวิด มอยส์ กุนซือของเอฟเวอร์ตัน ให้สัมภาษณ์หลังเกมที่โดนลูกทุ่มของดีแลปเล่นงาน
แต่ในเกมพบอาร์เซนอล ก็สามารถพิสูจน์ว่าลูกทุ่มของดีแลป ใช้ได้ผลกับทุกทีม ซึ่งก่อนแข่ง อาร์เซน เวนเกอร์ กุนซือของทัพปืนใหญ่ยืนยันว่าพวกเขาไม่ได้ตื่นตระหนกกับเรื่องนี้มาก แถมยังเย้ยหยันว่า สโต๊ค คงจะทำประตูจากรูปแบบนี้ได้ไม่บ่อย
แต่หลังเกมกลับตรงกันข้าม เมื่อสโต๊คเป็นฝ่ายเฉือนเอาชนะไปได้ 2-1 แถมทั้งสองประตูยังมาจากลูกทุ่มไกลของ ดีแลป ที่ทำให้เวนเกอร์ออกมายอมรับในอาวุธพิเศษนี้โดยดุษฏี
ลูกแรกเขาทุ่มไกลไปให้ ริคาร์โด ฟุลเลอร์ ที่เบียดเอาชนะ โคโล ตูเร โหม่งเช็ดเข้าไป ส่วนอีกลูกเขาทุ่มไกลไปเข้าหัว ชอว์ครอส โหม่งเช็ดให้ โอโลฟินยานา โถมใช้ร่างกายกระแทกบอลสวนตัว มานูเอล อัลมูเนีย นายด่านของอาร์เซนอล ตุงตาข่าย
“มันยากที่จะป้องกันเพราะบอลมาในแนวราบ มันพุ่งมาเหมือนกับลูกธนู ดังนั้นมันจึงยากที่จะซ้อมป้องกันในการฝึกซ้อม เพราะไม่ใช่ว่าจะหาใครซักคนที่ทำแบบนี้ได้ง่ายๆ” เวนเกอร์กล่าวหลังเกม
นับตั้งแต่นั้น ลูกทุ่มของดีแลป กลายเป็นปรากฎการณ์ของพรีเมียร์ลีกอีกหลายฤดูกาล Soccer Saturday รายการสดฟุตบอลวันเสาร์ของ Sky Sports ถึงขั้นจ้าง ฟิล ธอมป์สัน อดีตนักเตะและผู้ช่วยโค้ช ลิเวอร์พูล มาเป็นคอมเมนเตเตอร์ลูกทุ่มโดยเฉพาะ ทุกครั้งที่ดีแลปทุ่มลูก สัญญาณจะตัดมาที่เขา ในขณะที่ เวนเกอร์ ถึงขั้นเสนอให้เตะบอลจากข้างสนามแทนการทุ่มเมื่อลูกบอลออกข้าง
หลายทีมพยายามจะหยุดอาวุธอันตรายลูกนี้ หลุยส์ เฟลิเป สโคลารี กุนซือของเชลซีในตอนนั้น ถึงขั้นสั่งห้ามผู้รักษาประตูออกมาตัดบอล หรือในเกมพบ ฮัลล์ ซิตี้ ในเดือนพฤศจิกายน 2008 โบอาซ มายฮิลล์ ผู้รักษาประตูคู่แข่ง ตัดสินใจเตะบอลออกหลังตอนโดนกดดันแทนที่จะเตะออกข้าง ยอมเสียเตะมุม ดีกว่าเสียลูกทุ่มให้กับดีแลป
หรือในเกมพบกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในเดือนมีนาคม 2010 เวสต์แฮมเจ้าบ้าน ถึงขั้นขยับป้ายโฆษณาข้างสนามเข้ามา เพื่อให้ ดีแลป มีพื้นที่น้อยลง แต่เหมือนจะไม่ได้ผล เมื่อเขายังสามารถทุ่มเข้าไปในกรอบ 6 หลาได้อย่างง่ายดายทั้งเกม
แถมแผนขยับป้ายโฆษณายังส่งผลเสียต่อเวสต์แฮมเอง เมื่อประตูโทนในเกมนั้นมาจากจังหวะที่ จูเลียง โฟแบร์ มีพื้นที่ทุ่มบอลจำกัดจนทุ่มเสีย ก่อนที่บอลจะกลับไปหา ฟูลเลอร์ กองหน้าสโต๊ค ลากเลื้อยเข้าไปยิงประตูชัย
“ผมคิดว่าเขาเล่นบอลด้วยมือดีกว่าด้วยเท้าเสียอีก มันมหัศจรรย์มาก ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต 10 เมตรจากแดนกลาง เด็กคนนี้เอาบอลเข้าไปในพื้นที่ได้ บางทีมันอาจจะไม่ใช่ฟุตบอลที่สวยงาม แต่มันมีประสิทธิภาพ” สโคลารีกล่าวกับ The Guadian
ดีแลป กลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ สโต๊ค รอดพ้นจากการตกชั้นในฤดูกาลแรกบนพรีเมียร์ลีก ด้วยการจบในอันดับ 12 ของตาราง และมีส่วนช่วยให้ทีมโลดแล่นอยู่บนลีกสูงสุด ในอีก 3 ฤดูกาลต่อจากนั้น เขากลายเป็นอาวุธ ที่ยากเกินกว่าจะรับมือ
อย่างไรก็ดี ดีแลป ไม่ใช่คนเดียวที่ทุ่มไกลได้ แต่อะไรที่ทำให้ให้ลูกทุ่มของเขาทรงประสิทธิภาพต่างจากคนอื่น?
องศาและวิถีที่ต่างกัน
อันที่จริงการทุ่มไกลของดีแลป ไม่ได้เป็นความลับอะไรมากมาย เขาเคยเล่นในลักษณะนี้มาก่อน ในสมัยค้าแข้งกับ เซาธ์แฮมป์ตัน และดาร์บี แถมเขาก็ไม่ใช่คนแรกที่เล่นลูกทุ่มไกล เพราะก่อนหน้านั้น เคยมีนักเตะในอดีตที่โดดเด่นในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็น เดฟ ชัลลินอร์ หรือ แอนดี เล็กก์
แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้ลูกทุ่มของดาวเตะชาวไอริชต่างไปจากคนอื่นคือระยะและความเร็วในการทุ่ม ดีแลป สามารถทุ่มได้ไกลถึง 30-40 เมตร และเฉลี่ย 38 เมตร โดยลูกบอลมีความเร็วถึง 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จนมันกลายเป็นอาวุธที่เล่นงานคู่แข่งไม่ต่างจากฟรีคิก
“ลูกทุ่มของผมแรงอยู่นะ แต่ผมคิดว่าไม่มีใครในลีกที่ทุ่มได้เหมือนเขา” มาริโอ เมลช็อต อดีตแบ็คจอมทุ่มไกลของเชลซีกล่าวกับ Sky Sports “มันคือหนึ่งในนรกของลูกทุ่มสำหรับคู่แข่ง มันคืออาวุธที่สุดยอดที่เขามี”
การทุ่มของดีแลป มีเทคนิคคือเขาจะใช้วิธีเพิ่มแรงเหวี่ยงในการทุ่ม โดยก้าว 4 ก้าวจากป้ายโฆษณา แล้วก้าวยาวๆ อีกหนึ่งก้าว จากนั้นวางเท้าหน้าให้มั่นคง เพื่อให้แรงเหวี่ยงทั้งหมดมาอยู่ข้างหน้า ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มความเร็วตอนปล่อยบอล
และเพื่อให้บอลถึงที่หมายได้เร็วขึ้น เขาใช้วิธีทุ่มบอลให้ออกไปในวิถีราบ โดยปล่อยบอลออกไปให้ได้มุม 20-35 องศา เนื่องจากกล้ามเนื้อแขนและหลัง จะจัดเรียงกันจนสามารถดึงพลังสูงสุดออกมาในองศานี้ แถมยังเป็นการเพิ่มความเร็วและระยะอีกด้วย
นอกจากนี้ลักษณะการปล่อยบอล ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการทุ่มของดีแลป การทุ่มบอลในวิถีราบของเขา ทำให้ลูกติดแบ็คสปิน และเกิดการต้านแรงโน้มถ่วง ทำให้บอลสามารถเดินทางไปถึงที่หมายได้เร็วขึ้น แม้จะปล่อยบอลออกมาในองศาที่ต่ำก็ตาม
สำหรับการทุ่ม พูลิส กุนซือของสโต๊ค ต้องการให้บอลเดินทางเป็นแนวราบให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เนื่องจากทำให้กองหลังคู่แข่งเคลียร์บอลยาก และดีแลป ก็ตอบโจทย์นี้ โดยเขาจะเล็งไปที่นักเตะที่สูงเกินกว่า 6 ฟุตที่ยืนอยู่ด้วยกัน
“ลูกทุ่มนี้สร้างปัญหาหลายอย่าง (สำหรับคู่แข่ง) ผมคิดว่าเพราะมันเคลื่อนที่ไปในแนวราบ มันไม่ได้ลอยโด่งไปในอากาศ เขาทุ่มไปในแนวราบ และกองหลังจึงลำบากในการเก็บบอล” พูลิส ให้ความเห็นกับ Sunday World
นอกจากนี้ ด้วยการที่มันเป็นลูกทุ่ม ทำให้บางครั้งมันอันตรายกว่าลูกฟรีคิกหรือเตะมุม ไม่ว่าจะเป็นการใช้กล้ามเนื้อที่น้อยกว่า ทำให้สามารถควบคุมความแม่นยำได้มากกว่า หรือการมีอิสระในการเล่น เนื่องจากไม่ต้องกังวลว่าจะล้ำหน้า
“คุณไม่สามารถล้ำหน้าได้จากลูกทุ่ม ดังนั้นผู้เล่นเกมรุกจึงสามารถเข้าไปออกันในกรอบหกหลา” ลี ดิ๊กซัน อดีตกองหลังของอาร์เซนอล วิเคราะห์ในคอลัมน์ของ BBC
“เพราะฟรีคิกเริ่มต้นจากบอลบนพื้น หมายความว่ามันจะมีแนวโค้งตามธรรมชาติ ที่จะต้องผ่านกองหลังตัวแรก แต่ลูกทุ่ม เริ่มต้นจากความสูง 6 ฟุต มันคือมุมและวิถีของดีแลป ที่ทำให้มันมีพลัง”
“ผมไม่เคยเห็นใครที่มีลูกทุ่มเหมือนดีแลปมาก่อน ผมเคยทุ่มไกล และฝึกฝนมัน แต่ผมทำได้แค่เข้าไปในกรอบเขตโทษ เพอร์รี โกรฟ เพื่อนร่วมทีมของผมสามารถทุ่มไกลได้ มันดูเหมือน เดฟ ชัลลินอร์ และ แอนดี เล็กก์ ทำ แต่ไม่เหมือนดีแลปเลย ลูกทุ่มไกลส่วนใหญ่มักจะเป็นแนวโค้ง ในขณะที่ดีแลป วิ่งเป็นแนวเหมือนฟรีคิก แต่มันอันตรายกว่านั้น”
แต่มีเกิดก็มีดับ ลูกทุ่มของดีแลป สร้างปรากฎการณ์ในพรีเมียร์ลีกได้อีกเพียงไม่กี่ฤดูกาล ก็ค่อยๆ หายไป หลังสถานะของเจ้าตัวเปลี่ยนไป ด้วยอายุที่มากขึ้น เขาเป็นผู้เล่นคนสำคัญของสโต๊ค จนถึงฤดูกาล 2011/12 ก่อนจะกลายเป็นตัวสำรอง ได้ลงเล่นเพียงแค่นัดเดียวในฤดูกาลถัดมา ถูกปล่อยไปให้ บาร์นสลีย์ ใช้งาน และไม่ได้รับการต่อสัญญาเมื่อจบฤดูกาล
เขาย้ายไปค้าแข้งให้กับ เบอร์ตัน อัลเบียน ในลีกทูอยู่อีกครึ่งฤดูกาล ก่อนจะแขวนสตั๊ดช่วงปลายปี 2013 ด้วยวัย 38 ปี ปิดตำนานจอมทุ่มไกลแห่งพรีเมียร์ลีกไว้เพียงเท่านี้ โดยปัจจุบันเขาได้หวนกลับทีมเก่า มารับตำแหน่งโค้ชทีมชุดใหญ่ของสโต๊ค ตั้งแต่ปี 2018
แต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ลูกทุ่มของเขาจะยังอยู่ในความทรงจำ โดยเฉพาะแฟนพรีเมียร์ลีก แม้ว่าจะมีนักเตะจอมทุ่มไกลโผล่ขึ้นมาบนโลกฟุตบอลอีกสักกี่คน แต่ดีแลป ก็จะเป็นชื่อแรกๆ ที่หลายคนนึกถึง
เขาคือคนที่เปลี่ยนแปลงตัวเองจากนักเตะทั่วไป จนสามารถสร้างความสั่นสะเทือนไปทั้งวงการ แม้ว่าฟุตบอลของเขาอาจจะไม่สวยงาม และติดจะดูโบราณไปนิดหากเทียบกับยุคสมัย แต่มันก็เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพไม่แพ้นักเตะคนใด
บทความโดย มฤคย์ ตันนิยม
แหล่งอ้างอิง
โฆษณา