11 พ.ย. 2019 เวลา 03:38 • ธุรกิจ
สรุปการบรรยาย Generation Disruption ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ
1
ยุคนี้ เราจะเห็นความแตกต่างทางด้านความคิดของคนต่างวัยต่างรุ่นอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้น หัวข้อเกี่ยวกับ generation gap จึงเป็นเรื่องที่คนจำนวนมากสนใจ รวมทั้งผมด้วยครับ
เพราะผมเป็นคน gen X แต่เป็นอาจารย์สอนนิสิตที่เป็นคน gen Y , gen Z และมีลูกสาวใน gen Z ด้วย
เมื่อคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ เชิญดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร ซึ่งเป็นประธานกรรมการโรงเรียนกำเนิดวิทย์, อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และอีกหลายตำแหน่ง มาบรรยายเรื่อง Generation Disruption ในวันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2562 ในช่วงบ่าย จึงมีคนจำนวนมากสนใจ รวมทั้งผมด้วย
ผมจึงขอสรุปประเด็นต่างๆ ที่วิทยากรคือ ดร.ไพรินทร์ บรรยาย มาเล่าให้ฟังในบทความนี้ครับ
1. อัตราการเกิดในยุคนี้
1
Disruption คือความไม่ต่อเนื่อง ที่ของเก่าพังหมด ดังนั้นคนจึงพูดเรื่อง disruption ในทางธุรกิจมากขึ้น
ปีนี้ นักเรียนเข้าโรงเรียนหายไป 5 หมื่นคน เท่ากับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ 1 แห่ง แล้วสถาบันการศึกษาจะปรับตัวอย่างไร
เด็กเกิดมากหลังสงครามโลก ซึ่งเราเรียกคนที่เกิดรุ่นนี้ว่า baby boomer
ในยุคนี้ อัตราการตายลดลง เพราะคนอายุยืนขึ้น แต่อัตราการเกิดก็ลดลงด้วย
1
ในอนาคตอันใกล้ โลกใบนี้จะเป็นโลกของคนแก่ ไม่ใช่คนหนุ่มสาวอย่างที่คิด เพราะคนหนุ่มสาวน้อยลง
วิทยากรได้แสดงกราฟและข้อมูลต่างๆ เพื่อบอกว่า คนแก่กำลังเป็นคนกลุ่มใหญ่ของสังคม
แรงงานที่อยู่ในระบบจะลดลง ประชากรไทยไม่ถึง 70 ล้านคน พม่า 80 ล้านคน ฟิลิปปินส์เกือบ 100 ล้านคน ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยน้อยลงเพราะคนทำงานน้อยลง
จีนและญี่ปุ่นเจอปัญหาเรื่องคนเกิดน้อย เพราะจีนเคยมีนโยบายเรื่องลูกคนเดียว แต่ตอนนี้จีนยกเลิกนโยบายนี้แล้ว
นโยบายของญี่ปุ่นคือ เอาคนแก่ , ผู้หญิง และคนต่างชาติมาทำงาน
2. Urbanization
ประชากรไปรวมกันทำงานที่เมืองใหญ่ เด็กเกิดใหม่ก็จะทำงานเข้าเมือง
ความหมายเดิมของ smart city คือ เมืองน่าอยู่ มีการจัดสรรสิ่งแวดล้อมหรือสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ ไม่ใช่มีสลัมติดตึกสูง แต่ตอนนี้ไปแปล smart city เป็นเมืองอัจฉริยะ
สิ่งเกิดขึ้นใน urbanization คือ มีการใช้พลังงานเยอะมาก มีการจ้างงาน ทำให้คนเข้ามาทำงานมากขึ้น
3. ความแตกต่างระหว่างรุ่น
มีหลักฐานหรืองานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ว่า คนแต่ละรุ่นแตกต่างกัน
มีการทดสอบ 2 อย่างคือ ความสามารถทางชีววิทยาและความสามารถทางประสบการณ์
แบบทดสอบความสามารถเชิงชีววิทยา เช่น ความจำ การทำงาน ซึ่งคนอายุน้อยดีกว่าผู้สูงวัย เพราะความสามารถเชิงชีววิทยาจะลดลงตามอายุอย่างรวดเร็ว
แต่ความสามารถเชิงคิดวิเคราะห์หรือประสบการณ์จะดีขึ้นตามอายุ
สไลด์แสดงความสามารถของคนต่างวัย
จะเกิดการปะทะระหว่าง generation เช่น ความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันอย่างมาก หรือสไตล์การทำงานที่ต่างกัน ซึ่งคนรุ่นเดิมจะทำงานในที่เดิมนานๆ แต่คนรุ่นใหม่อดทนต่ำ จะไม่ยอมทำงานที่เดียวนานๆ
ความแตกต่างระหว่างอายุ เกิดจากความต้องการด้าน Maslow ที่แตกต่างกัน เช่น คนวัยทำงานต้องการเงินเพื่อดูแลครอบครัว คนวัยรุ่นเรียนมหาวิทยาลัยต้องการ self actualization
1
4. World 4.0
Gen Alpha คือเด็กอายุน้อยกว่า 7 ขวบในยุคนี้ เกิดมาพร้อมกับโลกดิจิตอลและยุคเอไอ
Gen Alpha ไม่จำเป็นต้องมีทักษะแบบคนยุคนี้ เช่น ไม่ต้องขับรถเป็น เพราะอนาคตจะมีรถอัตโนมัติ ไม่ต้องขับรถเอง
อุปกรณ์ไอที เช่น มือถือ ช่วยขยายความฉลาดและสติปัญญาของเด็กยุคนี้
แต่ความฉลาดทางวิชาการอย่างเดียวจะไม่พอ เพราะต้องมีความฉลาดทางอารมณ์ด้วย
ต่อไปมหาวิทยาลัยต้องสอน E.Q . ด้วย เพราะเด็กหาความรู้ได้จากมือถือ เนื่องจากทักษะหลายอย่างขึ้นกับ E.Q.
คนที่ไม่มีสมรรถนะทางพฤติกรรมหรือขาด competency จะเกิดปัญหาในการทำงาน
มหาวิทยาลัยไม่ได้สนใจ competency based เท่าไร
5. การเรียนตั้งแต่เด็กจนจบปริญญาตรีอาจไม่เหมาะสมในยุคนี้แล้ว
Front-loaded learning คือการเรียนอย่างเดียว เช่น เรียนตั้งแต่เด็กจนจบปริญญาตรี โท เอก แล้วค่อยออกมาทำงาน ซึ่งอาจไม่เหมาะกับโลกยุคนี้
รูปข้างบนแสดงให้เห็นว่า แค่ภายใน 5 ปี ก็มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องความต้องการของทักษะอย่างมาก
การเรียนแบบ front-loaded ที่เรียนไปเรื่อยๆ แล้วค่อยออกมาทำงานถึงจุดอิ่มตัวแล้ว บริษัทหาคนมาทำงานไม่ทัน ต้องการเด็กเข้าทำงานก่อนจบปริญญาตรี
ไอเดียใหม่ที่เสนอตอนนี้คือ เรียนแล้วออกมาทำงาน จากนั้นกลับไปเรียน แล้วก็ออกมาทำงาน ซึ่งอาจเป็นงานใหม่หรืออาชีพใหม่
ตัวอย่างเช่น เราจะเห็นแนวโน้มว่า ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพอาจมีอายุ 45 เพราะสตาร์ทอัพจากคนก่อตั้ง 20 กว่าปีมีโอกาสเจ๊ง เพราะยังขาดประสบการณ์
โรงเรียนของกระทรวงศึกษาธิการยัง disrupt ตัวเองไม่ได้
ไม่ต้องห่วงแทนคนรุ่นใหม่ว่า เอไอจะทำงานแทนหรือไม่ เพราะเขาจะปรับตัวเข้ากับเอไอได้ดีกว่าคนรุ่นสูงวัย
อีกประการหนึ่งคือ การทึ่มีคนทำงานน้อยลง ทำให้จำเป็นต้องใช้เอไอหรือหุ่นยนต์มาช่วยทำงานมากขึ้น
ธุรกิจของมหาวิทยาลัยเป็น red ocean เช่นมหาวิทยาลัยบางแห่งจะเปิดคณะแพทย์ ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็น ทำให้ต้องมาแข่งขันกันเอง
มหาวิทยาลัยชั้นนำ 10 แห่งของโลกมีนักศึกษาประมาณหมื่นกว่าคน เพราะโฟกัสมากกว่า
ถ้าสมมติว่า มีบริษัทใหญ่ในไทยประกาศว่า ไม่รับคนที่จบปริญญาตรี จะเกิดผลกระทบกับมหาวิทยาลัยอย่างมหาศาล
และถ้ามีบริษัทแห่งหนึ่งประกาศ ก็จะมีแห่งอื่นประกาศตาม มหาวิทยาลัยต่างๆ จะเกิดผลกระทบทันที
ดังนั้น ควร disrupt ตัวเองก่อนที่จะถูกคนอื่น disrupt เพราะถ้าถูกบังคับ จะเจ็บปวดมาก ทุกคนจะหนีตายหมด
วิทยากรแนะนำหนังสือเรื่อง Super Ager ที่พูดเรื่องการพัฒนาสมองของคนสูงวัย
สไลด์สรุปเนื้อหาสำคัญของการบรรยาย
วิทยากรปิดท้ายด้วยข้อความนี้ครับ
“อย่าห่วงว่าตัวเองจะแก่ แต่จงห่วงว่าจะคิดแบบแก่ๆ”
เชิญสมัครเป็นสมาชิกจดหมายข่าว “ไฟฉาย” ของผมที่จะส่องไอเดียน่าสนใจทุกวันที่ 1 และวันที่ 15 ของทุกเดือน เช่น แอป คอร์สออนไลน์ หนังสือ วิดีโอ บทความ เพจ ไฮไลท์จากหนังสือ เป็นต้น
สมัครเพื่ออ่านทางอีเมลได้อย่างสะดวกสบายได้ที่
โฆษณา