14 พ.ย. 2019 เวลา 03:10 • บันเทิง
Repost เรื่องสั้น : เหตุแห่งฆาตกรรม
1
ผมยืนอยู่ปะปนกับชาวบ้านอีกหลายสิบชีวิตที่ฝั่งตรงข้ามใกล้แนวรางรถไฟฟ้า อีกด้านตรงหน้าเป็นอาคารที่แบ่งเป็นห้องเช่าหลายห้องให้คนพัก ตอนนี้รอบๆ ถูกคาดไว้ด้วยเทปที่ใช้ล้อมที่เกิดเหตุเอาไว้โดยรอบ
“น่ากลัวจัง ทำไมมาเกิดอะไรแบบนี้แถวย่านบ้านเรา ไม่น่าเลยให้ตายเถอะ” ป้าคนนึงบ่นขึ้น
“นั่นสิค่ะ ฉันก็เพิ่งย้ายมาอยู่ที่พักห่างไปอีกสองหลังเอง แบบนี้ชักใจคอไม่ดีซะแล้ว” พนักงานออฟฟิตสาวอีกคนทำหน้าเครียดเอ่ยตามมา
“ฉันว่าแล้ว ไอ้หนุ่มคนนี้ดูท่าเงียบๆ เก็บปากเก็บคำผิดปกติ เวลาซื้อของที่ร้าน ชวนคุยด้วย แต่เค้าไม่เคยตอบฉันเลยสักคำ” ป้าเจ้าของร้านมินิมาร์ทอีกซอยถัดไปพูดขึ้นมาเสริม
“โอ๊ย แล้วฉันกับลูกไม่ต้องนอนผวากันเหรอค่ะ เนี่ย” แม่บ้านอีกคนพร้อมลูกน้อยวัยขวบเศษเห็นจะได้ก็บ่นขึ้นมาอีกคน
ชาวบ้านต่างจับกลุ่มกันคุยราวกับนกกระจอกบนต้นไม้ยามพลบค่ำ ที่ส่งเสียงแหลมเล็กน่ารำคาญดังระงมไปทั่วจนเริ่มฟังไม่ได้ศัพท์
ผมเดินแทรกชาวบ้านที่กำลังส่งเสียงอึงมี่ออกมาเงียบๆ ลำพัง เดินช้าๆ เรียบไปตามทางรถไฟฟ้าเพื่อกลับบ้าน แต่สายตายังปักตรงไปยังห้องเช่าที่เกิดเหตุอยู่ตลอดเวลา
“รายงานข่าวด่วน วันนี้มีการจับกุมผู้ต้องสงสัย เป็นชายหนุ่มวัย 27 ปี ในข้อหาทิ้งศพ และในการเข้าตรวจค้นบ้านพักของเขา ตำรวจยังได้พบชิ้นส่วนศีรษะมนุษย์อีก 9 ชิ้น เป็นหญิง 8 และชายอีก 1 แต่ในเบื้องต้นทราบเพียง 1 รายคือหญิงสาวที่หายตัวไปนานเกือบสองสัปดาห์ ซึ่งการตามรอยเพื่อค้นหาเธอ นำมาซึ่งการจับกุมชายหนุ่มที่เก็บชิ้นส่วนมนุษย์ไว้ในห้องพักรายนี้ในที่สุด….”
รายงานข่าวเมื่อเช้าตอนผมกำลังกินขนมปังกับนมสด เล่นเอาผมแทบสำลักนมออกมาในทันที เพราะรายละเอียดที่เกิดเหตุ มันอยู่ห่างออกไปจากห้องพักของผมแค่สองสามร้อยเมตรแค่นั้นเอง
“นี่มันน่ากลัวชะมัด” ผมสบถ
ช่วงเย็นตอนขากลับ ผมจึงแวะไปดูที่เกิดเหตุซึ่งต้องผ่านทุกเย็น บรรยากาศไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะคนมามุงดูกันเกือบตลอดเวลา สลับหน้ากันมาเรื่อยๆ หลังจากยืนดูที่เกิดเหตุอยู่นาน และทบทวนเรื่องราวต่างๆ อยู่กับตัวเองสักพัก ผมจึงเดินกลับบ้านกับความรู้สึกแบบแปลกๆ
“ทำไมพวกคนเหล่านี้ถึงอยากตายกันนัก ทั้งๆ ที่ยังเป็นหนุ่มสาวกันอยู่แท้ๆ” คำถามที่ก้องอยู่ในหัวตลอดเวลาตั้งแต่ได้ทราบรายละเอียดของเหยื่อในคดีสะเทือนขวัญนี้
..ในระหว่างมื้อค่ำ
“แม่ครับ ได้ยินเรื่องสยองที่บ้านเช่าข้างทางรถไฟแล้วใช่ไหม”
“อืมม น่ากลัวจริงๆ คนเราสมัยนี้ ใจคอทำด้วยอะไรกัน โหดร้ายจริงๆ” แม่ถึงกับหยุดทานแล้ววางตะเกียบลง
“ผมว่าไอ้หนุ่มนั่นที่ฆ่าคนไปเยอะไม่แปลกหรอก มีคนฆ่ากันตายอยู่ทุกวันนั่นหล่ะฮะ แต่ที่สงสัยคือ ทำไมถึงมีคนอยากตายมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ ในขณะที่บางคนอยากจะอยู่ในนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันตลกร้ายชัดๆ” ผมคีบปลาทอดเข้าปาก
“พวกเค้าคิดอะไรอยู่นะ ถึงยอมพาตัวเองไปตายกระทั่งให้คนแปลกหน้าลงมือฆ่าได้ขนาดนั้น แถมยังเป็นคนหนุ่มคนสาวอยู่แท้ๆ ถ้าเป็นคนแก่ที่ร่างกายย่ำแย่ ผมก็คงไม่แปลกใจ” ผมพุ้ยข้าวเข้าปากอีกคำใหญ่
“มีคนตายที่บ้านคนชราอีกละสิ” แม่มองหน้าผม
“ใช่ครับ ป้ามิโดริ ที่ผมเคยเล่าให้แม่ฟัง ที่แกเป็นโรคความจำเสื่อมไง แกหลับตายไปเมื่อเช้านี้”
“ผมว่าดีกับแกนะครับ แกน่าสงสาร” ผมยกซุปขึ้นซด
“นั่นสินะ คนที่อยากอยู่ก็ไม่มีโอกาส ส่วนคนที่มีโอกาสกลับอยากทิ้งมันไปง่ายๆ ซะอย่างนั้น เฮ้อ… แต่ใครจะรู้ว่าจริงๆ แล้ว จะคนหนุ่มสาวหรือจะวัยไหนก็ตามเถอะ เค้าอาจจะแบกความทรมารแสนสาหัสอยู่จนยากที่ทนอยู่กับมันได้อีกต่อไป ความตายคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว ก็เป็นได้ใช่ไหม เราคงตัดสินใครไม่ได้หรอกเรื่องนี้ และบางทีความตายก็เหมาะกับคนบางคนมากกว่าการมีลมหายใจต่อไปนะ แม่เชื่ออย่างนั้น” แม่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วเก็บถ้วยข้าวของตัวเองเอาไปล้าง ทิ้งผมให้จัดการกับอาหารที่เหลือเพียงลำพัง
ผมยังนึกถึงใบหน้าของป้ามิโดริได้ดี หญิงชราที่น่าสงสาร แกนึกว่าผมเป็นลูกชายที่ตายไปนานหลายสิบปีที่แล้วเสมอ เวลาผมพาแกไปเดินเล่นในสวน แกมักเล่าเรื่องในอดีตและถามผมว่าจำได้ไหม ผมได้แต่เออออไปกับแก เพื่อให้แกสบายใจ จนบางทีก็นึกสงสารแกเหลือเกินที่ต้องมาใช้ชีวิตเพียงลำพังกับความทรงจำเก่าๆ ที่ลางเลือน แต่ก็ดีแล้วที่ทุกอย่างจบลงแล้วอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ
1
ผมเข้านอนไปพร้อมกับคำถามที่ยังคิดไม่ตก ว่าอะไรที่ทำให้คนอยากตายได้ง่ายๆ ขนาดนี้ เพราะสังคมที่สร้างความกดดันสาระพัด หรือปัญหาส่วนตัวที่ไม่อาจล่วงรู้ หรือแม้แต่ถูกหลอกล่อจากเหล่าอาชญากรที่แฝงตัวอยู่ในทุกรูปแบบเกินคาดเดา
“นั่นสิ คนเราเลือกที่จะตาย หรือเลือกที่จะมอบความตายให้คนอื่นได้ด้วยเหรอ แล้วคนที่ยินยอมหรือพร้อมที่จะจากไปอย่างเต็มใจ คนที่ช่วยให้พวกเค้าจากไปตามความต้องการนั่นเลวร้ายจริงหรือเปล่า ในเมื่อมันเป็นความต้องการของผู้ถูกกระทำเอง”
ผมยังสับสนกับความคิดตัวเองที่ยุ่งเหยิงจนเผลอหลับไปในที่สุด
ผมถึงบ้านพักคนชราแต่เช้า
ในห้องนั่งเล่นมีคนแก่มากมายนับสิบชีวิตนั่งดูทีวีอยู่ แต่เชื่อเถอะว่าบางคนไม่รู้หรอกว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ เพราะขนาดปลดทุกข์ พวกคนแก่บางคนในที่นี้ ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขากำลังจะปลดปล่อยมันออกมา
ผมเดินผ่านห้องนั่งเล่นขึ้นไปยังชั้นสอง ส่วนที่เป็นห้องพักแยกส่วนตัว อีกส่วนลึกไปข้างเป็นห้องสำหรับผู้สูงอายุที่ป่วยและนอนติดเตียง ผมมีหน้าที่คอยดูแลและให้การพยาบาลคนแก่กลุ่มนี้
“โอย…...โอย…” เสียงครางของคุณยายจิโกะที่ร้องแบบนี้เกือบ 24 ชั่วโมง เพราะอาการกระดูกพรุนขั้นรุนแรง จนหมอต้องให้ยาแก้ปวดอย่างแรงตลอดเวลา คงถึงเวลาที่ยาเริ่มหมดฤทธิ์พอดี ผนเดินไปหยิบแผ่นแปะแก้ปวดออกมาเตรียมไว้เพื่อเปลี่ยนให้ใหม่
ส่วนเตียงของลุงโอตะ ยังดูนิ่งไร้การเคลื่อนไหว น่าจะหลับสนิทอยู่ ซึ่งนั่นดีมากๆ เพราะถ้าแกตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ แกจะเริ่มร้องไห้คร่ำครวญแบบเดิมที่เป็นมาตลอดเกือบปี
“ฮือออ ทำไมทิ้งพ่อไว้อย่างนี้ พ่ออยากกลับบ้าน ...พ่ออยากกลับบ้าน” เสียงร้องโหยหวนที่ดังอยู่เกือบตลอดเวลา มันเทำเอาผมประสาทเสียเลยทีเดียว
ตลอดเวลาทำงาน ผมต้องทนดูเหล่าคนแก่ที่น่าสงสารเหล่านี้ตลอดเวลา บ้างอยากมีชีวิตอยู่เพื่อรอเจอลูกหลานที่จะมาเยี่ยมนานๆ ครั้ง บ้างบ่นอยากตายเพราะไม่เคยมีใครกลับมาดูแล บ้างก็ไม่มีแม้ความทรงจำที่หลงเหลือ ใช้ชีวิตราวกับให้ลมหายใจค่อยๆ หมดไป คล้ายไส้เทียนที่กำลังอ่อนแรงพร้อมจะมอดดับได้ทุกเมื่อ
“ชีวิตบางทีมันก็เลวร้ายจนเกินทนจริงๆ” ผมนึกขึ้นขณะเตรียมน้ำเกลือให้ป้าเอริโกะ ที่นอนไม่มีสติมาร่วมเดือนแล้วเพราะอาการสมองฝ่อขั้นรุนแรง
ผมดูเอาสารละลายยาเข้มข้นเจือจางในขวดน้ำเกลือเตรียมไว้ อีกไม่กี่นาทีก็ต้องเปลี่ยนเวรกับเพื่อนอีกพลัดแล้ว แต่ผมอยากจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนกลับบ้าน และหวังว่าป้าเอริโกะจะได้สิ่งที่เธอต้องได้
“พบการเสียชีวิตของผู้สูงอายุในบ้านพักคนชราที่เขต xxx ต่อเนื่องหลายราย จนต้องมีการสืบสวนหาข้อมูลเงื่อนงำการเสียชีวิตที่ผิดปกติดังกล่าว และพบว่าผู้สูงอายุที่เสียชีวิตหลายคนได้รับสารฟอกขาวที่ผสมในขวดน้ำเกลือเข้าสู่กระแสเลือด การสืบสวนยังคงดำเนินไปเพื่อจับกุมผู้ต้องสงสัย …..”
“มีคนที่คอยมอบความตายให้คนอื่นอยู่รอบตัวไปหมดจริงๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งคนแก่ที่กำลังจะโรยราไปเองเลยรึนี่” ผมนึกกับตัวเองหลังฟังรายงานข่าวที่ดังต่อเนื่องมาหลายอาทิตย์แล้ว
ผมปิดวิทยุ เดินไปหยิบเสื้อคลุมเตรียมตัวกลับบ้าน อากาศข้างนอกเริ่มเย็น ระหว่างทางคิดว่าจะแวะไปดูบ้านที่เกิดเหตุฆ่าหั่นศพแถวบ้านอีกสักครั้ง เผื่อว่าจะได้ข้อมูลอะไรใหม่ๆ แค่ให้แน่ใจว่าผมจะไม่ตกเป็นเหยื่อของพวกล่อลวงไปฆ่าอีกคนด้วย เพราะมีบางครั้งเหมือนกันที่ผมรู้สึกแย่กับงานที่เครียดแบบนี้จนเผลอเข้าไปตามกลุ่มคนที่นัดหมายเพื่อหาคนฆ่าตัวตายเป็นเพื่อน แต่สุดท้ายพอคิดถึงแม่ที่อาจจะต้องเสียใจที่ต้องเสียผมไปอีกคน หลังจากพ่อทิ้งเราไปตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมจึงเลิกล้มความตั้งใจไปหลายครั้ง และหวังว่าผมคงไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้อีก ข่าวสยองล่าสุดนี่ช่วยเตือนให้ผมได้สติเลยทีเดียว
ผมหยิบของส่วนตัวแล้วออกเดินทางกลับบ้าน
อีกสักพัก ลูกชายฉันก็คงกลับถึงบ้านแล้ว ฉันจัดเตรียมอาหารมื้อเย็นเรียบร้อย แต่คงต้องลงไปเก็บเอาผ้าที่ซักทิ้งไว้ที่ห้องใต้ดินที่ทิ้งไว้ตั้งแต่เช้า ฉันมัวเสียเวลานั่งฟังรายงานข่าวฆ่าหั่นศพเก้าศพอยู่เกือบทั้งวัน แถมยังออกไปดูว่าชาวบ้านรู้สึกอย่างไรกันบ้างที่มีเหตุการเกิดขึ้นใกล้ตัวเราขนาดนี้
แน่นอนว่าส่วนใหญ่เสียขวัญ แต่ก็ยังคงดำเนินชีวิตไปให้เหมือนปกติที่สุด นั่นเป็นข้อดีของคนที่นี่ ชีวิตมีอะไรให้กังวลมากกว่าแค่เรื่องคนตาย ซึ่งบางทีการจะหาเงินเพื่อยังชีพในสังคมที่บีบคั้นแบบนี้ อาจจะดูโหดร้ายกว่าความตายที่เกิดขึ้นแบบรวดเร็วด้วยซ้ำ
ฉันเดินลงไปห้องใต้ดิน เปิดไฟสว่าง เปิดฝาเครื่องซักผ้าเพื่อหยิบผ้ากองใหญ่ออกมาใส่ตระกร้าไปตาก พอเรียบร้อยแล้ว ฉันนั่งลงยองๆ พื้น เอามือเคาะที่กระเบื้องปูพื้นใต้เครื่องซักผ้าเบาๆ
“ไงคุณ หลับอยู่เงียบๆ หล่ะ อย่าให้ฉันต้องโมโหอีก เข้าใจไหม ไอ้เลว ฮึ” ฉันยิ้มที่มุมปากเล็กๆ
สามีที่ฉันเคยรักถูกบรรจงหั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ยัดลงถังเหล็กปิดฝาอย่างแน่นหนา ฝังลงในหลุมลึกแล้วปูกระเบื้องทับอย่างดี ข้างบนมีเครื่องซักผ้าวางทับไว้อย่างแนบเนียน ไม่ต้องกังวลเรื่องกลิ่นหรือพื้นที่ผิดสังเกตุ
ไม่เคยมีใครตามหาเขามานานแล้ว ชาวบ้านต่างรู้ดีเรื่องพฤติกรรมทำร้ายร่างกายฉันและลูกเวลาเมา ทำลายข้าวของ และอาละวาดชกต่อยชาวบ้านที่เข้ามาห้ามปราม จนทุกคนเอือมระอา
ฉันจำได้ดีถึงเหตุการณ์วันนั้น
ไอ้เลวเมามาอย่างหนัก มาถึงก็มาเอาเงินที่ฉันเก็บไว้ค่ายารักษาโรคหอบของลูกชาย มันบอกว่าจะเอาไปกินเหล้ากับร้องคาราโอเกะ ฉันร้องไห้อ้อนวอนไม่ให้มันเอาไป แต่ไร้ประโยชน์ มันทุบตีฉันอย่างบ้าคลั่ง จนลูกน้อยที่ตอนนั้นอายุเพียงสี่ขวบวิ่งร้องไห้เข้ามาขวาง ไอ้สัตว์นรกจับลูกแท้ๆ ของมันบีบคอจนหน้าเขียว แล้วโยนลงพื้นอย่างแรงจนหมดสติ
ฉันกรีดร้อง หยิบมีดทำครัวใกล้มือพุ่งเข้าไปแทงที่ท้องมันอย่างเต็มแรง มันหยุดกึก ฉันกรีดร้องแล้วกระหน่ำแทงไม่ยั้ง ครั้งสุดท้ายที่แทงคือถอนมีดออกจากท้องมันแล้วแทงเข้าที่คอหอยมันจนมิดด้ามทะลุท้ายทอย
ทุกอย่างเงียบกริบอีกครั้ง ฉันเก็บกวาดทุกอย่าง เช็ดพื้นด้วยน้ำยาฟอกขาวทุกตารางนิ้ว เก็บทุกชิ้นส่วนอย่างระมัดระวัง และฝังทุกอย่างลงใต้ดิน ซื้อกระเบื้องมาปูเองกับมือ
ไม่เคยมีใครถามถึงมันอีกเลย มีบ้างที่ถามว่าฉันเป็นไงบ้าง ฉันแค่บอกว่ามันเอาเงินหนีไปกับผู้หญิงคนใหม่แล้ว ทุกคนต่างยินดีและให้กำลังใจฉันในการเริ่มชีวิตใหม่
ตอนนี้ฉันมีความสุขกับลูกดี แค่หวังว่าเหตุการณ์ฆาตกรรมแถวบ้านที่เพิ่งเกิด จะไม่ไปจุดชนวนให้ใครมาตามหาไอ้เลวนั่นขึ้นมาอีกครั้ง
“บางทีความตายก็เหมาะสำหรับบางคนมาก แม้ว่าเค้าจะไม่ต้องการมันก็ตาม ใช่ไหม ที่รัก” ฉันเอ่ยกับตัวเองเบาๆ
แล้วหยิบตระกร้าผ้าขึ้น เดินกลับขึ้นไปด้านบน ปิดไฟ แล้วพื้นใต้เครื่องซักผ้าก็กลับไปเย็นเยียบและเงียบงันอย่างที่เป็นมาตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา
โฆษณา