14 พ.ย. 2019 เวลา 11:40 • ธุรกิจ
Disney+ เปิดตัววันแรก ได้สมาชิก 10 ล้านคน แล้ว Netflix จะเดินเกมอย่างไร?
ล่าสุด Disney+ แพลตฟอร์ม Video Streaming ใหม่จากค่าย Disney
เปิดตัวไปได้วันเดียวก็มีสมาชิกถึง 10 ล้านคน
เมื่อเรื่องเป็นอย่างนี้หุ้นของ Disney ก็บวก 7% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 550,000 ล้านบาทภายในวันเดียว
ซึ่งถือว่าเป็นราคาหุ้นที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัท Disney
1
เรื่องนี้น่าสนใจ
เพราะ Disney+ น่าจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของ Netflix ในอนาคต
แล้วในสงคราม Streaming ตอนนี้มีใครบ้าง
แต่ละรายต้องเสียค่าสมาชิกเท่าไร
1
เรียงลำดับจากแพงสุดไปถูกสุด
HBO Now 453 บาท
Amazon Prime 390 บาท
Netflix 280 บาท
Disney+ 211 บาท
YouTube Premium 159 บาท
Apple TV+ 99 บาท
2
จะเห็นได้ว่า Disney+ ตั้งราคาที่ต่ำกว่า Netflix
แต่ถ้าเทียบจำนวนคอนเทนต์ที่ให้ดูในตอนนี้
อาจจะต้องบอกว่า Netflix ยังนำ Disney+ อยู่หลายช่วงตัว
อย่างไรก็ตาม Disney+ มีภาพยนตร์และซีรีส์ มากมายที่กำลังอยู่ในระหว่างการจัดทำรอลงในแพลตฟอร์มในอนาคต ซึ่งในตอนนี้ Disney+ มีภาพยนตร์ 500 เรื่อง และ รายการทีวี 7,500 ตอน ซึ่งรวมแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ The Simpsons, The Avengers, Star Wars และ Toy Story
Cr. Blognone
แต่ก็ยังไม่มากพอ Disney กำลังหาคอนเทนต์มาลงมากกว่านี้อีก โดยทาง Disney วางแผนที่จะเปิดตัวรายการทีวีกว่า 10,000 ตอน ภาพยนตร์มากกว่า 600 เรื่อง และซีรีส์พิเศษอีก 50 เรื่อง ภายในปี 2024
ผลประกอบการล่าสุดของ Walt Disney (ปิดงบเดือนกันยายน)
ปี 2017 มีรายได้ 1,666,240 ล้านบาท กำไร 271,376 ล้านบาท
ปี 2018 มีรายได้ 1,796,095 ล้านบาท กำไร 380,712 ล้านบาท
ปี 2019 มีรายได้ 2,102,405 ล้านบาท กำไร 334,052 ล้านบาท
โดยมีสัดส่วนรายได้มาจาก
เครือข่ายสื่อโทรทัศน์ 35%
สวนสนุก ผลิตภัณฑ์ต่างๆ 37%
สตูดิโอผลิตคอนเทนต์ 15%
บริการสตรีมมิง, สื่อต่างประเทศ และโฆษณา 13%
ซึ่งแน่นอนว่า Disney หมายมั่นปั้นมือว่าจะสร้าง Disney+ ให้เป็นรายได้หลักไม่แพ้ช่องทางรายได้อื่น
คิดดูเล่นๆ ว่า ถ้า Disney ได้ค่าสมาชิกเดือนละ 211 บาท แล้ว Disney มีสมาชิก 10 ล้านคน
ก็หมายความว่า Disney จะรับรายได้จากช่องทางนี้เริ่มต้นก็เดือนละ 2,110 ล้านบาท หรือ 25,320 ล้านบาทต่อปีแล้ว
อย่างไรก็ตาม สมาชิก 10 ล้านคนเริ่มแรกนี้น่าจะมีหลายคนที่ทดลองใช้บริการ ซึ่งอาจยกเลิกในภายหลัง
แล้ว Netflix ผู้เป็นเจ้าตลาดนี้จะทำอย่างไร?
ที่ผ่านมานักวิเคราะห์มองว่า Netflix มีดีที่ ภาพยนตร์ หรือ ซีรีส์ที่ทำขึ้นเอง (Original)
จริงๆ แล้วคู่แข่งที่น่ากลัวของ Netflix ก็คือ Amazon Prime ในสหรัฐอเมริกา ที่มีซีรีส์ของตัวเองไม่แพ้ Netflix
Cr. TV Insider
และสิ่งที่เกิดขึ้นคือซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จใน Netflix ก็ไม่ใช่ซีรีส์ที่ Netflix ทำขึ้นเอง แต่กลับกลายเป็นซีรีส์ของสตูดิโอยักษ์ใหญ่เจ้าอื่นที่นับวันสตูดิโอเหล่านั้นจะดึงกลับไปลงแพลตฟอร์มของตัวเอง
ถามว่าข้อได้เปรียบของ Netflix ตอนนี้คืออะไร?
คำตอบอาจจะเปลี่ยนไป เพราะทุกค่ายก็เริ่มทำซีรีส์ของตัวเองทั้งหมด
แต่ข้อได้เปรียบของ Netlifx ก็คือฐานจำนวนสมาชิกที่มากที่สุดในโลกตามแต่ละประเทศ
ทำให้ Netflix ได้เปรียบเรื่องความเป็นนานาชาติในแพลตฟอร์ม
1
เมื่อไปดูจำนวนสมาชิก
ตอนนี้ Netflix มีจำนวนสมาชิก 158 ล้านคน ซึ่ง 60 ล้านคนอยู่ในสหรัฐอเมริกา
จะเห็นได้ว่าสมาชิกนอกสหรัฐอเมริกาของ Netflix มีเยอะมาก
เยอะจนเรียกได้ว่า Netflix เป็นแพลตฟอร์มระดับโลก
ที่ไม่เหมือนแพลตฟอร์ม Streaming เจ้าอื่น
ตอนนี้ Netflix จึงพยายามใช้โมเดลในการซื้อซีรีส์ท้องถิ่นจากประเทศต่างๆ มาเสริมการทำ Original แบบเดิม
เราจะได้เห็น ละครช่อง 3 เข้าไปอยู่ใน Netflix
ประเทศอื่นมีโอกาสได้ดูละครไทย ภาพยนตร์ไทย
และเรามีโอกาสได้ดูซีรีส์จากทางฝั่งยุโรป เกาหลี หรือแม้แต่ การ์ตูนอนิเมะจากญี่ปุ่น
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ Disney+ และ Amazon Prime ยังไม่มี
Cr. Animation World Network
นั่นหมายความว่า Netflix กำลังเดินเกมความหลากหลาย และความเป็นนานาชาติ ที่ตอนนี้ตนเองได้เปรียบอยู่
ก็ต้องติดตามกันว่า คนจะสนใจภาพยนตร์และซีรีส์ ที่มีความเป็นอเมริกันมากๆ จากฝั่ง Disney+ หรือ ความหลากหลายจากฝั่ง Netflix
1
แต่ที่แน่ๆ ผู้บริโภคอย่างเราๆ มีตาแค่คู่เดียว ซึ่งคงต้องเลือกไม่อันใดก็อันหนึ่ง..
ปิดท้ายด้วยคำพูดของ รีด ฮาสติงส์ CEO ของ Netflix
ที่กล่าวถึงสถานการณ์ สงครามนองเลือดของอุตสาหกรรม Video Streaming ที่กำลังจะเกิดขึ้น
“ยอดสมาชิก ไม่ใช่ตัวชี้วัดที่ถูกต้องว่าใครเป็นผู้ชนะ
เวลาที่ผู้ชมใช้ไปกับการดู Video Streaming ต่างหากที่สำคัญกว่า”..
โฆษณา