"มหานรกภูมิทั้ง ๘ ขุม นรกสำหรับสัตว์ผู้กระทำบาปทั้งปวง"
(ภพภูมิเบื้องต่ำของผู้มีจิตใจอันหยาบช้า)
จากเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนๆ ผมได้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องภพภูมิอันเกี่ยวเนื่องด้วยสวรรค์ทั้งหลาย ตอนนี้จึงเหลืออีกเพียงเรื่องเดียวที่ยังไม่ได้เอาลงเกี่ยวกับเรื่องภพภูมิเบื้องต่ำนั้นก็คือเรื่องเกี่ยวกับ "นรกภูมิ" เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้นเชิญติดตามอ่านกันได้เลยครับ
นรกภูมิ คือ สถานที่จองจำผู้ที่กระทำบาปสถานหนัก ต้องชดใช้บาปจากเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ โดยอาศัยร่างที่เป็นกายหยาบรับโทษ เช่น ถูกเลื่อยกาย ถูกหั่นร่างเป็นชิ้น ๆ ถูกไฟครอก ถูกตำด้วยสาก ถูกโยนใส่กระทะน้ำเดือด ปีนต้นงิ้ว เป็นต้นมนุษย์เมื่อตายไป มิใช่ว่าจะถูกยมทูตพาไปพบพระยายมราช เพื่อตัดสิน ไต่ถามก่อนการรับโทษในนรกทุกคนไป เป็นเฉพาะบางคนบางพวกเท่านั้น คือ
โดยปกติแล้วคนเราในโลกที่เห็นกันอยู่นี้ มีนิสัย จิตใจ และความประพฤติดีเลว แตกต่างกันออกไป พอจะแบ่งออกได้เป็น ๔ ประเภท คือ
พวกที่ ๑ ชอบใจในการบำเพ็ญกุศลมาก
พวกที่ ๒ ชอบทั้งกุศลและอกุศลปนกันไป ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
พวกที่ ๓ ชอบทางอกุศลมากกว่ากุศล
พวกที่ ๔ ชอบแต่ทางอกุศลฝ่ายเดียว
เมื่อจิตใจมนุษย์ต่างระดับกันดังนี้ เมื่อถึงเวลาตาย ความเป็นไปย่อมแตกต่างกัน
พวก ที่ ๑ ขณะใกล้ตาย ย่อมระลึกนึกถึงเรื่องที่เป็นบุญ เป็นกุศล ที่ตนได้เคยประกอบเอาไว้ได้มาก บุคคลเหล่านี้ตายแล้วย่อมไปสู่สุคติภูมิ
พวก ที่ ๒ บุคคลพวกนี้ยามใกล้ตาย ถ้าตนเองได้พยายามระลึกนึกถึงบุญกุศลให้มากเข้าไว้ หรือมีผู้อยู่ใกล้คอยช่วยเตือนสติให้ระลึกถึงกุศลกรรมนั้น บุคคลเหล่านี้ก็จะสามารถพ้นจากอบายภูมิได้เหมือนกัน เว้นแต่ตนเองไม่พยายามนึก อีกทั้งไม่มีผู้ใดคอยช่วยเตือนให้นึก จิตใจจึงมีแต่ความกลุ้มใจ เสียใจ ห่วงใยในทรัพย์สมบัติ ผู้คน หรือเรื่องกังวล อื่น ๆ ตายแล้วย่อมเข้าสู่อบายภูมิ
พวกที่ ๓ พวกนี้มีอกุศลอาจิณกรรม คือบาปที่กระทำสั่งสมอยู่เป็นนิจ มากกว่ากุศล เมื่อใกล้ตาย ลำพังตนเองแล้วไม่มีทางที่จะนึกถึงกุศลกรรมได้ และการที่จะให้คนธรรมดา เช่น ญาติพี่น้องผู้ใกล้ชิด ก็ไม่สามารถช่วยเตือนสติใหระลึกได้โดยง่าย จะต้องช่วยเหลือกันอย่างแข็งกล้าเป็นพิเศษจริง ๆ จึงพอจะช่วยได้
พวก ที่ ๔ พวกนี้ตายแล้วไม่พ้นจากการไปสู่อบายภูมิได้เลย ยกเว้นจะได้รับการช่วยเหลือจากท่านผู้มีบุญบารมีแก่กล้าแท้จริง เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อัครสาวก มหาสาวกเท่านั้น นอกจากนี้ตนเองยังจะต้องมีกุศลกรรมที่เคยสร้างสมไว้ในชาติก่อน ๆ ที่มีกำลังมากด้วย จึงจะพอพ้นจากอบายภูมิได้
ในบุคคลใกล้ตายทั้ง ๔ ประเภทนี้ พวกที่ ๑ ตายแล้วไปสู่สุคติภูมิ พวกที่ ๔ ไปสู่ทุคติภูมิ โดยทันที ไม่ต้องพบพระยายมราชแต่ประการใด
ส่วน พวกที่ ๒ และ ๓ นั้น ถ้าระลึกถึงกุศลกรรมไม่ได้ จะต้องไปสู่นรก แล้วจะมีโอกาสได้พบพระยายมราชเพื่อทำการไต่ถาม และช่วยตนเองให้พ้นจากนรกอีกครั้ง หากได้สติตอบคำถามของพระยายมราชได้ถูกต้อง
คำถามของพระยายมราช เป็นคำถามเกี่ยวกับเทวทูต ๕ อย่าง คือ
๑. ความเกิด เทวทูตที่เป็นตัวแทนให้เราพบเห็นคือ ทารกแรกเกิด
๒. ความแก่ ได้แก่ คนชรา
๓. ความเจ็บ ได้แก่ ผู้ป่วยไข้
๔. การถูกลงโทษตามกฎหมาย ได้แก่ คนต้องราชทัณฑ์
๕. ความตาย ได้แก่ คนตาย
พระยายมราชจะถามว่า เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เคยเห็นเทวทูตเหล่านี้บ้างหรือไม่ เมื่อเห็นแล้วเคยนึกอย่างไรบ้างเกี่ยวกับตนเอง
ถ้า บุคคลนั้น ๆ ตอบว่าเคยเห็น และนำมาคิดพิจารณาเทียบเคียงว่าตนเองก็จะต้องมีสภาพเดียวกันนี้ จึงได้พยายามสร้างทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เพื่อจะได้เป็นหนทางพ้นไปจากความทุกข์เหล่านั้น
ในขณะที่ตอบคำถาม พระยายมราชอยู่นี้ ถ้าผู้นั้นบังเอิญนึกถึงกุศลที่ตนเคยประกอบเอาไว้ได้ ก็จะพ้นจากการต้องไปตกนรกทันที แต่ถ้าระลึกไม่ได้ คงตอบไปแต่เรื่องยินดีพอใจ สนุกสนานไปตามวิสัยธรรมดาของโลก พระยายมราชจะถามเตือนด้วยเทวทูตอย่างที่ ๒ อย่างที่ ๓ เรื่อยไปตามลำดับ เพื่อช่วยให้พยายามนึกถึงบุญกุศลให้ได้ เมื่อผู้นั้นนึกไม่ได้จริง ๆ พระยายมราชจะช่วยเตือนสติให้อีกครั้งว่าเคยทำกุศลสิ่งใดไว้บ้าง ทั้งนี้ด้วยเหตุที่สมัยบุคคลเหล่านั้นประกอบการกุศลดังกล่าว มักจะแผ่ส่วนกุศลให้พระยายมราชด้วย (ถ้าหากไม่ได้แผ่ส่วนกุศลให้พระยายมราชไว้ พระยายมราชย่อมนึกถึงกุศลของผู้นั้นไม่ออกเช่นเดียวกัน)
เมื่อพระยา ยมราชเตือนสติ และผู้นั้นระลึกถึงกุศลกรรมของตนขึ้นมาได้ และกล่าวตอบพระยายมราชไป ผู้นั้นย่อมจะพ้นจากนรกได้ ส่วนผู้ที่นึกถึงกุศลกรรมใด ๆ ไม่ออกจริง ๆ แม้พระยายมราชจะถามเตือนด้วยเรื่องเทวทูตจนครบทั้งห้าแล้ว ประกอบทั้งตนไม่เคยอุทิศแผ่ส่วนกุศลใดให้พระยายมราชเลย เป็นเหตุให้พระยายมราชไม่สามารถนึกถึงกุศลกรรมนั้น ๆ นำมาเตือนสติได้ ผู้นั้นก็จำต้องตกลงสู่นรกโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง
สำหรับสัตว์ที่มิได้ประกอบกุศลกรรมไว้บ้างเลยในสมัยเป็นมนุษย์เหล่านี้ เมื่อพระยายมราชหมดหนทางช่วยเหลือ จึงกล่าวว่า
“ท่าน ไม่ได้กระทำความดี ทางกาย ทางวาจา ทางใจไว้เลย เพราะมัวประมาทมัวเมาเสีย ท่านจำต้องถูกนายนิรยบาลลงโทษ บาปกรรมอันนี้มิใช่ผู้ใดอื่นทำให้ท่านเลย เป็นเพราะท่านทำของท่านไว้เอง จึงต้องรับโทษของกรรม”
นรกมีทั้งหมด ๔๕๗ ขุม ได้แก่
มหานรก มี ๘ ขุม
๑. สัญชีวนรก (นรกที่ไม่มีวันตาย)
เหล่าสัตว์ที่มาอุบัติบังเกิดในนรกขุมนี้ ถึงแม้จะได้รับทุกข์โทษจนตายแล้ว ก็กลับเป็นขึ้นมาอีก
๒. กาฬสุตตนรก (นรกเส้นด้ายดำ)
เหล่า สัตว์ที่มาเกิดในขุมนรกนี้ จะถูกลงโทษโดยนายนิรยบาล เอาด้ายดำมาตีเป็นเส้นตามร่างกาย แล้วก็เอาเลื่อยมาเลื่อย บางทีก็เอาขวานมาผ่า หรือเอามีดมาเฉือนกรีดตามเส้นดำที่ตีไว้ไม่ให้ผิดรอยได้
๓. สังฆาฏนรก (นรกบดขยี้สัตว์)
เหล่าสัตว์ที่เกิดในนรกขุมนี้ จะถูกภูเขาเหล็กบดขยี้ร่างกายให้ได้รับทุกขเวทนาอยู่ตลอดเวลา
๔. โรรุวนรก (นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้)
เหล่าสัตว์ที่มาอุบัติในนรกขุมนี้ เป็นสัตว์ที่ได้รับทุกข์โทษแสนสาหัส ต้องร้องครวญครางอย่างน่าเวทนาอยู่ตลอดเวลา
๕. มหาโรรุวนรก (นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องครวญครางมากมาย)
เหล่าสัตว์ที่มาอุบัติในนรกขุมนี้ ได้รับทุกข์ทรมานแสนสาหัส ร้องไห้เสียงระงมไปทั่วทั้งนรก
๖. ตาปนรก (นรกที่ทำให้สัตว์เร่าร้อน)
เหล่า สัตว์ที่อุบัติในนรกขุมนี้ ต้องได้รับทุกข์โทษเร่าร้อนมีหลาวเหล็กใหญ่โตเท่าต้นตาล โชติช่วงแดงฉานไปด้วยเปลวไฟจำนวนประมาณหลายหมื่นแสนแน่นเต็มนรกไปหมด หลาวเหล็กแต่ละอันมีสัตว์นรกเสียบอยู่บนปลายหลาว มีเปลวไฟพุ่งขึ้นภายใต้หลาวเหล็ก ไหม้เผาผลาญสังหารสัตว์นรกทั้งหลายอยู่ตลอดเวลา เนื้อหนังมังสาของสัตว์นรกทั้งหลายไหม้สุกพองอยู่เหนือปลายหลาวเหล็ก ต้องเสวยทุกข์เวทนาดิ้นพล่านไปมา จนกระทั่งเนื้อหนังสุกพองไปด้วยอำนาจไฟนรก แล้วก็ถูกหมานรกฉีกเนื้อกิน แล้วก็กลับเป็นขึ้นมาตามเดิม วนเวียนอยู่อย่างนี้จนกว่าจะสิ้นกรรม
๗. มหาตาปนรก (นรกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนเหลือประมาณ)
เหล่า สัตว์ที่อุบัติในนรกขุมนี้ ต้องได้รับทุกข์โทษเร่าร้อนเป็นที่สุด ภายในกำแพงอันกว้างขวางใหญ่โตนั้น มีภูเขาเหล็กลุกเป็นไฟตั้งอยู่เป็นลูก ๆ ตามพื้นข้างภูเขามีขวากเหล็กแหลมคมลุกแดงด้วยไฟ ปักเรียงรายอยู่เหนือพื้น
นาย นิรยบาลถืออาวุธหอกดาบแหลนหลาวลุกแดงด้วยไฟไล่ทิ่มแทงสัตว์นรกทั้งหลายให้ ขึ้นไปบนภูเขาไฟแดงฉาน สัตว์นรกทั้งหลายตกใจกลัวนายนิรยบาล ก็พากันวิ่งไปบนยอดเขานรก ต่อจากนั้นก็มีลมกรดอันร้อนแรงคมกล้าพัดมาด้วยกำลังลมนรก ทำให้สัตว์พลัดตกลงมาจากยอดเขา ถูกขวากนรกร้อนแรงซึ่งอยู่เบื้องล่าง เสียบร่างกายทะลุเลือดแดงฉาน ทรมานทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดและความรุ่มร้อนแสนสาหัส
๘. อเวจีนรก (นรกที่ปราศจากความบางเบาแห่งทุกข์)
นรกขุมนี้ เป็นนรกขุมใหญ่กว่าบรรดานรกทั้งหลาย ล้อมรอบด้วยกำแพงเหล็กที่มีเปลวไฟโชติช่วง
สัตว์ ที่ไปเกิดอยู่ในมหานรกอเวจีนี้มีมากกว่านรกขุมอื่น แออัดยัดเยียดเบียดเสียดกัน ได้รับทุกข์ทรมานด้วยการถูกเปลวไฟนรกอันร้อนระอุเผาไหม้อยู่อย่างนั้นตลอด เวลา จนกว่าจะสิ้นกรรม
1
อุสสุทนรก
เป็นนรกบริวาร ๑๖ ขุม ล้อมรอบนรกขุมใหญ่ทั้ง ๘ ขุม อุทสุทนรกจึงมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด ๑๒๘ ขุม
ยมโลกนรก
เป็น นรกบริวาร ล้อมรอบนรกขุมใหญ่ทั้ง ๘ ขุม โดยอยู่ทิศหน้า ๑๐ ขุม ทิศหลัง ๑๐ ขุม ทิศซ้าย ๑๐ ขุม ทิศขวา ๑๐ ขุม รวม ๔ ทิศ เป็น ๔๐ ขุม ยมโลกนรกทั้งหมดรวมกันจึงมี ๓๒๐ ขุม
โลกันตนรก ๑ ขุม
เป็น นรกขุมใหญ่อยู่นอกจักรวาล มีสภาพมืดมนยิ่งนัก สัตว์ที่ไปเกิดในโลกันตนรกนี้ มีร่างกายใหญ่โต เล็บมือเล็บเท้ายาวยิ่งนัก ต้องใช้เล็บมือเท้าเกาะอยู่ตามชายเชิงจักรวาล ห้อยโหนเหมือนค้างคาวห้อยหัวอยู่บนกิ่งไม้ ได้รับความทุกข์อันแสนสาหัสสัตว์ นรกในนี้เข้าใจว่าตนอยู่เพียงลำพัง เพราะมืดมนจนมองไม่เห็นเพื่อนสัตว์นรกด้วยกัน ตลอดเวลาห้อยโหนโยนตัวเปะปะไปด้วยความหิวโหย เมื่อใดไปโดนสัตว์นรกด้วยกัน ก็เข้าใจว่าเป็นอาหารรีบขวนขวายไขว่คว้าจับกุมกัน ต่างตนต่างก็จะตะครุบกันกินปล้ำฟัดกันจนกระทั่งเผลอปล่อยมือที่เกาะอยู่ เลยพลัดตกลงไปเบื้องล่างบริเวณเบื้องล่างในโลกันตนรกนั้นไม่ใช่พื้น ธรรมดา แต่เต็มไปด้วยน้ำกรดอันเย็นยะเยือกอย่างร้ายกาจยิ่งนัก ทันทีที่สัตว์นรกตกลงมา ร่างกายก็จะเปื่อยแหลกลงเพราะฤทธิ์น้ำกรดเย็นนั้นกัดเอา ได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานจนสิ้นใจตาย แล้วก็กลับเป็นตัวตนขึ้นมาเหมือนเก่า รู้สึกหนาวเย็นจับกระดูกจับขั้วหัวใจ รีบตะเกียกตะกายปีนป่ายขึ้นมาเกาะเชิงเขาจักรวาลด้วยความลำบากยากเข็ญ แล้วก็ห้อยโหนโยนตัวหาอาหารด้วยความหิวโหยต่อไปอีกตามเดิมเมื่อไขว่ คว้าไปเจอสัตว์นรกด้วยกัน ก็จะตะครุบกินกันเอง ต่อสู้จนตกลงบ่อน้ำกรดเบื้องล่าง ถึงแก่ความตาย แล้วก็กลับเป็นขึ้นมาตามเดิม วนเวียนไปมาเช่นนี้ จนกว่าจะสิ้นกรรม
สัตว์ นรกทั้งหลายที่ทำกรรมชั่วไว้มาก พอเสวยกรรมในมหานรกแล้ว หากกรรมยังไม่สิ้น ก็ต้องมาเสวยผลกรรมในอุสสุทนรก หากกรรมยังไม่สิ้นอีก ก็ต้องมาเสวยผลกรรมในยมโลกทั้ง ๑๐ ที่แวดล้อมมหานรกนี้อยู่ ตามอำนาจของบาปกรรมที่ตนทำไว้บางคนตกนรกขุมที่เป็นบริวารก่อน แล้วจึงมาตกมหานรกก็มี สุดแต่ว่ากรรมใดจะให้ผลก่อน บางคนทำบาปกรรมไว้มากต้องตกมหานรกทั้ง ๘ ขุมก็มีเมื่อ สิ้นกรรมในนรกเหล่านี้แล้ว เศษบาปยังให้ผลต้องไปเกิดในอบายภูมิอื่น คือ ต้องไปเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เสวยทุกขเวทนาในสถานที่นั้น ๆ แล้วจึงจะได้มีโอกาสกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ตามเดิมถ้าทำบาปกรรมไว้ น้อย มาตกนรกได้ไม่นาน กุศลกรรมที่ทำไว้ก็จะบันดาลให้ระลึกถึงบุญกุศลนั้นขึ้นมา ก็จะเปลี่ยนสภาพจากสัตว์นรก ไปอุบัติเป็นภูมิอื่นต่อไป.
"ด่านนรกขุมอื่นๆ"
"สะพานนรก"
คนที่ก่อกรรมทำบาปหลังจากตายแล้วส่วนใหญ่จะต้องมาเดินผ่านสะพานแห่งนี้
นายนิรยบาลจะตีขับให้ตกลงไปเป็นเหยื่อของฝูงงูพิษที่อยู่ในเหวลึกใต้สะพาน
"ขุมนรกควักลูกตา"
นายนิรยบาลกำลังทรมานสัตว์นรกจำพวกที่ใช้สายตาดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น กับพวกที่ชอบดูภาพลามก
"ขุมนรกห้อยหัวลง"
นายนิรยบาลกำลังลงโทษทรมานสัตว์นรกที่ดูถูกให้ร้ายผู้เป็นครูอาจารย์
กับพวกอกตัญญูเนรคุณ และพวกที่ประพฤติผิดศีลธรรมประเพณีความสัมพันธ์ภายในครอบครัว
"ขุมนรกน้ำร้อนรวกมือ"
นายนิรยบาลกำลังทรมานสัตว์นรกจำพวกนักล้วงกระเป๋า ฉกชิงวิ่งราว ลักขโมย และพวกที่หลอกลวง
"ขุมนรกผึ้งพิษ"
ฝูงผึ้งพิษกำลังรุมต่อยร่างสัตว์นรกจำพวกที่แอบอ้างชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปหลอกลวง เอาทรัพย์สินเงินทองของผู้บริสุทธิ์
กับพวกที่เบียดบังเอาเงินของศาสนาไปใช้ส่วนตัว และพวกหมอดู ที่หลอกรับจ้างทำพิธีสะเดาะเคราะห์
"ขุมนรกตัดเครื่องเพศ ให้หนูกัดแผล"
นายนิรยบาลกำลังตัดเครื่องเพศสัตว์นรกจำพวกที่มักมากในกามารมณ์ เช่นพวกอลัชชี กับพวกที่ชอบเป็นชู้ด้วยสามี-ภรรยาผู้อื่น
"ขุมนรกอมลูกกระสุนเหล็ก"
คน จำพวกที่ใช้กลอุบายหลอกล่อให้ผู้อื่นตกหลุมพรางของตนแล้วบังคับขู่เข็ญเอา สิ่งที่ตนต้องการบ้าง ใช้เล่ห์ลิ้นพูดหว่านล้อมให้คนหลงเชื่อแล้วกระทำอนาจารบ้าง โกหกมดเท็จเพื่อหลอกลวงเอาทรัพย์สินผลประโยชน์บ้าง เมื่อตายไปจะต้องถูกลงโทษทรมานอยู่ในนรกขุมนี้
"ขุมนรกสาวไส้"
นายนิรยบาลกำลังใช้มีดผ่าอกสาวไส้ร่างสัตว์นรกที่ใช้อำนาจหน้าที่ในราชการกระทำทุจริต
กับพวกที่ปลูกพืชไร่ใส่ยาฆ่าแมลงยังไม่ทันหมดพิษยาก็นำออกจำหน่าย
กับพวกพ่อเล้าแม่เล้า และพวกล้มแชร์ ให้สุนัขกิน
"ขุมนรกน้ำมันเดือด"
นายนิรยบาลกำลังทรมานสัตว์นรกจำพวกที่เป็นโจรปล้น ตีชิงวิ่งราว ลักขโมย
กับพวกที่ฆ่าคนตายด้วยอาวุธ ยาพิษ
พวกฉ่อราษฎร์บังหลวง พวกประพฤติผิดกามผู้เป็นสายเลือด
พวกอกตัญญูต่อผู้บังเกิดเกล้า
"ขุมนรกตัดลิ้นร้อยกราม"
นักบวชที่ประพฤติผิดธรรมวินัยทางปาก เช่นกล่าวหาให้ร้ายศาสนาอื่น และเทศนาที่มีความหมายทำนองสองแง่สามง่าม
กับพวกที่กล่าวหาให้ร้ายผู้อื่นโดยมิชอบ ตลอดจนใช้วาจาแช่งด่าหยาบคาย หลังจากตายไปแล้วจะต้องถูกลงโทษทรมานอยู่ในนรกขุมนี้
"ขุมนรกบดร่างวิญญาณ"
พวก ที่อกตัญญู พวกฆ่าทำลายชีวิตคนและสัตว์ กับพวกมักมากในกามารมณ์ คนจำพวกนี้เมื่อจบชีวิตลงนอกจากต้องถูกลงโทษทรมานตามผลกรรมอย่างหนักแล้ว สุดท้ายยังต้องถูกนำตัวมาบดอัดจนร่างแหลกละเอียด
"ขุมนรกตัดท่อนแขนขา"
พวกที่ทำมาหาเลี้ยงชีพไม่สุจริตและฉวยโอกาสหวังรวยทางลัด
พวกลักขโมยฉกชิงวิ่งราวปล้นฆ่า
และพวกที่ใช้กำลังทุบตีพ่อแม่ผู้มีพระคุณ
คนจำพวกนี้หลังจากตายไปแล้วจะต้องถูกลงโทษทรมานอยู่ในนรกขุมนี้
"ขุมนรกน้ำมันกระเดนใส่ร่าง"
พวก เขียนหนังสือกับถ่ายภาพลามก และพวกที่ปรุงยาปลุกอารมณ์ทางเพศ พวกโรงพิมพ์ตลอดจนผู้ขาย คนพวกนี้เป็นภัยต่อสังคมเป็นอย่างยิ่ง ก่อความมัวหมองทางด้านจิตใจให้แก่ชาวโลกโดยมิชอบ หลังจากตายไปแล้วจะต้องถูกลงโทษทรมานอยู่ในนรกขุมนี้
"ขุมนรกประหารใจ"
เป็น ขุมนรกประหารใจสัตว์นรกจำพวก ใจอิจฉาริษยา ใจอธรรมลำเอียง ใจโหด อำมหิต ใจที่มีแต่เคียดแค้นพยาบาท ใจที่เห็นแก่ตัว และจงเกลียดจงชังผู้อื่น ใจที่ไม่รู้จักกตัญญูรู้คุณ ใจที่วิปริตหมกมุ่นแต่กามารมณ์
"ขุมนรกกรอกยาพิษ"
พวกนักค้ายาปลอมและสิ่งเสพติด
"ขุมนรกตัดลอกถลกหนัง"
สำหรับ คนที่ไม่มีความละอายต่อการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของตน หลังจากตายไปแล้วจะถูกนายนิรยบาลลงโทษทรมานด้วยการตัดลอกถลกหนังหน้าออก
"งูพิษเจาะร่างวิญญาณ"
ชาว โลกที่ชอบเจาะหาช่องว่างของกฎหมายเพื่อกระทำความทุจริต กับพวกรับจ้างฆ่าคนอย่างเลือดเย็น พวกปากหวานใจเฉือดคอ คอยยุแหย่ให้คนหลงผิดฆ่าทำลายกัน และพวกรับเหมาที่เจตนาลดวัสดุ-แรงงานผิดแบบก่อสร้าง
คนจำพวกนี้จิตใจชั่ว ช้าเลวทรามยิ่งอสรพิษ คิดเอาเปรียบผู้อื่นโดยไม่นึกถึงอะไร ตายแล้วนอกจากต้องรับกรรมทรมานตามขุมนรกต่าง ๆ แล้ว ท้ายสุดยังต้องถูกลงโทษทรมานในนรกขุมนี้ โดยถูกงูพิษชนิดต่างๆ เจาะร่างวิญญาณ
"ว่าด้วยเรื่องนายนิริยบาล เจ้าหน้าที่ในยมโลก"
เจ้าหน้าที่ในยมโลก ไม่ใช่นายนิรยบาลที่เกิดด้วยอำนาจบาปของสัตว์นรกเหมือนอย่างในมหานรกและอุสสทนรก เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่เป็นกุมภัณฑ์ คือ ยักษ์ชนิดหนึ่ง อยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา อยู่ในความดูแลของท้าวธตรฐ เป็นอดีตมนุษย์ที่มีนิสัยมักโกรธ แต่ก็ทำบุญด้วย เจ้าหน้าที่พวกนี้จะหมุนเวียนกันมาทำหน้าที่เป็นช่วงๆ มีตั้งแต่ 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน หรือ 12 เดือน ในยมโลก ซึ่งก็แล้วแต่บาปที่ตนกระทำไว้ เจ้าหน้าที่ในยมโลกมีหลักๆ ดังนี้
พญายมราช เป็นกุมภัณฑ์ชั้นดี มีเครื่องประดับแบบเรียบๆ คล้ายชุดลำลองที่ใส่มาทำงาน มีบุญ มากกว่ากุมภัณฑ์ที่ทำหน้าที่อื่นๆ มีหน้าที่วินิจฉัยบุญบาปของสัตว์นรก ทำหน้าที่สั่งการเหมือนเป็นหัวหน้าศาลอย่างเมืองมนุษย์
สุวรรณเลขาทำหน้าที่ในยมโลก
สุวรรณเลขาทำหน้าที่ตรวจบัญชีบุญที่ทำจากแผ่นทองคำ
 
สุวรรณเลขา เป็นกุมภัณฑ์ชั้นดี มีหน้าที่ตรวจบัญชีบุญที่ทำจากแผ่นทองคำ
สุวานเลขา
สุวานเลขาตรวจบัญชีบาปที่ทำจากหนังสัตว์
 
สุวานเลขา เป็นกุมภัณฑ์ชั้นดี มีหน้าที่ตรวจบัญชีบาป ที่ทำจากหนังสัตว์
"ยมทูต"
ยมทูตมารับตัวผู้ที่หมดอายุขัย
 
ยมทูต เป็นกุมภัณฑ์ที่บุญน้อยลงมา มีหน้าดุดัน ตาโตแดง ผิวดำ นุ่งผ้าหยักรั้งสีแดง มีหน้าที่ไปรับตัวผู้หมดอายุขัยในโลกมนุษย์มาสู่ยมโลก หรือผู้ที่มาจากอุสสทนรกมาสู่ยมโลก ซึ่งจะประกอบด้วยหัวหน้าชุด ผู้มีกำลังบุญมากกว่าทหารยมทูต มีเครื่องประดับเป็นสร้อยทองคำขนาดใหญ่ ในมือถือโซ่ตรวน ส่วนทหารยมทูตนั้นไม่มีเครื่องประดับ ในมือถืออาวุธ เวลาไปรับตัวกายละเอียด จะไปเป็นชุด 3 ตนบ้าง 5 ตนบ้าง 7 ตนบ้าง แล้วแต่ผู้ตายว่า มียศตำแหน่ง มีอำนาจในเมืองมนุษย์มากน้อยเพียงใด เพื่อเป็นการข่มขวัญนั่นเอง
"เจ้าหน้าที่ในยมโลก"
กุมภัณฑ์ที่เป็นยักษ์ นาค ครุฑ มารับงานเป็นเจ้าหน้าที่ยมโลกทั่วไป
 
"เจ้าหน้าที่ยมโลกทั่วไป" เป็นกุมภัณฑ์ทั่วไป มีหน้าที่ควบคุมสัตว์นรก และลงโทษสัตว์นรก กรณีที่มีสัตว์นรกมาก กุมภัณฑ์ไม่เพียงพอ ก็จะมียักษ์ ครุฑ นาค พันธุ์ดุ ที่มีเศษกรรมประเภทนี้อาสามาช่วยงานด้วย
"การพิพากษาบุญบาป"
พญายมราช
พญายมราชวินิจฉัยสัตว์นรกตามบุญบาปที่เคยกระทำ
 
เมื่อถึงเวลาเจ้าหน้าที่จะเรียกตัวสัตว์นรกที่มีกายเปลือยเปล่า เข้ารับการวินิจฉัยบุญบาป เจ้าหน้าที่จะคุมตัวเข้าไปนั่งต่อหน้าพญายมราช แล้วการวินิจฉัยก็เริ่มขึ้น โดยที่พญายมราชจะซักถามด้วยเสียงที่ดังน่าเกรงขาม
 
ยกตัวอย่างการวินิจฉัยบุญบาป พญายมราชจะซักถามชื่อ ที่อยู่ ฯลฯ เมื่อซักถามเรื่องพื้นฐานเรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็จะถามเรื่องบุญและเรื่องบาป เช่น ถามว่า "เจ้ารู้ไหม ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่" ส่วนใหญ่จะตอบเหมือนกันว่า "ไม่รู้" พญายมราชจะบอกว่า เพราะเจ้าทำกรรมอย่างนั้นอย่างนี้ กายละเอียด ก็ปฏิเสธว่า ไม่เคยทำ เมื่อปฏิเสธ พญายมราชจะสั่งให้สุวานเลขาเปิดบัญชีบาป บัญชีของสุวานเลขาก็จะมีภาพการกระทำของคนนั้นปรากฏ และภาพนั้นก็มาฉายอยู่หน้าบัลลังก์ของพญายมราช เป็นภาพในลักษณะที่ลอยออกมาจากฝาผนัง กายละเอียดจะเห็นการกระทำของตนเอง
สมมุติว่าดื่มเหล้าเมา ภาพปรากฏอยู่ที่สุวานเลขาก่อน แล้วก็มาปรากฏที่หน้าจอของพญายมราช เห็นภาพตนเองกำลังเมา เมาแล้วไปฆ่าสัตว์ ภาพฆ่าสัตว์เกิด ฆ่าแล้วเอามาขาย ขายแล้วซื้อเหล้ามาดื่ม ชวนเพื่อนขี้เมามากินเหล้าด้วยกัน พอเงินหมดก็ไปขโมยทรัพย์ เอาของไปขายแล้วเอาเงินมาซื้อเหล้า พอเมาได้ที่แล้วก็ร้องรำทำเพลง ภาพปรากฏขึ้นมาทั้งหมด หลอกกันไม่ได้เลย เมื่อสัตว์นรกเห็นภาพการกระทำของตนก็เศร้าซึมใจหมอง
 
เมื่อดูภาพบาปแล้ว พญายมราชจะถามว่า "แล้วเจ้าเคยทำบุญอะไรบ้าง" กายละเอียดตอบว่า "จำไม่ได้" เพราะอยู่ตรงนั้นบรรยากาศต่างๆ จะทำให้กายละเอียดหวาดกลัว พญายมราชก็สั่งให้สุวรรณเลขาเปิดบัญชีบุญดู ปรากฏว่า ความดีที่ทำมีอยู่หน่อยหนึ่ง คือ เคยเกี่ยวหญ้ามาเลี้ยงวัว เพราะความเอ็นดู ทำทานกับสัตว์เดียรัจฉานอย่างเดียว ใจก็ได้ปลื้มมาก
"ยมโลกชีวิตหลังความตาย"
พญายมราชวินิจฉัยบุญภาพที่เคยทำบุญจึงเปิดขึ้น
 
เมื่อดูภาพทั้งบุญและบาปแล้ว พญายมราชสรุปว่า "เจ้าทำบาปมาก เจ้าก็เห็นด้วยตัวของเจ้าเองแล้ว และญาติก็ไม่ได้ทำบุญส่งมาให้ ให้เจ้าหน้าที่นำตัวไปลงโทษสมควรแก่กรรมต่อไป"
 
การวินิจฉัยบุญบาปของพญายมราชนี้ เพื่อให้โอกาสกายละเอียดนั้นได้นึกถึงบุญที่ตนทำไว้เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ถ้าใครพอทำบุญมาบ้าง เมื่อภาพที่สุวรรณเลขาปรากฏ การที่จะนึกถึงบุญได้ก็มีมาก โอกาส ที่จะต้องไปเกิดในอบายภูมิก็น้อย แต่หากทำบาปมาก ทำบุญบ้างนิดหน่อย อย่างกรณีตัวอย่าง ทำแล้วไม่ถูกหลักการทำบุญในทางพระพุทธศาสนา ทำกับสัตว์เดียรัจฉานมีอานิสงส์น้อย เมื่อเทียบกับการทำบุญกับเนื้อนาบุญอย่างพระภิกษุสงฆ์ อย่างนี้มีโอกาสจะต้องไปรับโทษทัณฑ์ในนรกได้ เรื่องการซักถามบุญบาปของพญายมราชนี้ มีปรากฏในเทวทูตสูตร
 
ที่ตั้งและจำนวนของยมโลก
 
ยมโลกอยู่ใต้เขาตรีกูฏ ซึ่งเป็นที่รองรับเขาสิเนรุ และอยู่ในระนาบเดียวกับอุสสทนรก ยมโลกเป็นบริวารของมหานรกทั้ง 8 ขุม ในมหานรกแต่ละขุม มียมโลกล้อมรอบทิศละ 10 ขุม ทิศเบื้องหน้า 10 ขุม ทิศเบื้องหลัง 10 ขุม ทิศเบื้องขวา 10 ขุม ทิศเบื้องซ้าย 10 ขุม รวม 4 ทิศ เท่ากับ 40 ขุม
 
ที่ตั้งยมโลก
ยมดลกของมหานรกทั้ง 8 ขุใ มีทั้งหมด 320 ขุม
 
รวมยมโลกของมหานรกทั้ง 8 ขุม มีจำนวนทั้งหมด 320 ขุม ยมโลก 10 ขุม ในทิศหนึ่งๆ ของมหานรกทั้ง 8 ขุมนั้น มีชื่อเรียกแตกต่างกันตามลักษณะการทรมาน และมีชื่อเหมือนกันกับยมโลก 10 ขุม ในทิศอื่น และในขุมอื่นๆ ยมโลก 10 ขุม มีชื่อเรียก ดังนี้
1. โลหกุมภีนรก 6. ปิสสกปัพพตนรก
2. สิมพลีนรก 7. ธุสนรก
3. อสินขนรก 8. สีตโลสิตนรก
4. ตามโพทกนรก 9. สุนขนรก
5. อโยคุฬนรก 10. ยันตปาสาณนรก
"ตารางเปรียบเทียบ ประเภทนรก ขุมใหญ่เรียงลำดับจากเบาไปหนัก "
ขุมที่ ชื่อ อายุนรก เปรียบเทียบจำนวนวัน หมายเหตุ
1. สัญชีพนรก 500 ปี 1 วันนรก = 9 ล้านปีมนุษย์ 4,500 ล้านปีมนุษย์
2. กาฬปุตตะนรก 1,000 ปี 1 วันนรก = 36 ล้านปีมนุษย์ 36,000 ล้านปีมนุษย์
3 สังฆาฏนรก 2,000 ปี 1 วันนรก = 145 ล้านปีมนุษย์ 290,000 ล้านปีมนุษย์
4. โรรุวนรก 4,000 ปี 1 วันนรก = 234 ล้านปีมนุษย์ 936,000 ล้านปีมนุษย์
5. มหาโรรุวนรก 8,000 ปี 1 วันนรก = 9,216 ล้านปีมนุษย์ 73,728,000 ล้านปีมนุษย์
6. ตาปะมหานรก 16,000 ปี 1 วันนรก = 184,212 ล้านปีมนุษย์ 2,947,392,000 ล้านปีมนุษย์
7. มหาตาปะนรก 1/2 กัป ไม่มีการแจ้งไว้ นับไม่ได้
8. อเวจีมหานรก 1 กัป ไม่มีการแจ้งไว้ นับไม่ได้
พิเศษ โลกันตนรก ไม่มีอายุ เป็นการทำบาปที่พิเศษที่สุด ไม่มีระบุในตำรา เสร็จจากนี้ต้องไปต่อที่ขุมอเวจีมหานรกต่อไป ความหมายของ 1 ปีนรก1 ปี มี 12 เดือน เดือนละ 30 วัน ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับปีมนุษย์ ความหมายของ 1 กัป สมมติให้มีกล่องที่ กว้าง 1 โยชน์ ยาว 1 โยชน์ สูง 1 โยชน์ บรรจุเมล็ดผักกาดจนเต็ม เวลาผ่านไป 100 ปี หยิบออก 1 เมล็ด จนกระทั่งหมดไม่มีเหลือ นับเป็น 1 กัป นรกขุมใหญ่ ต้องโทษเพราะไม่เคารพ และผิดในกรรมบถ 10 เมื่อเราเสียชีวิต หากพลาดพลั้งต้องตกนรก กรรมของเราจะถูกพิจารณา คือ กรมหนักที่สุดของเรามีอยู่เท่าไร เทียบได้กับขุมใหญ่ขุมไหน ก็ไปยังขุมใหญ่นั้นๆ เมื่อเสร็จสิ้นจากขุมใหญ่แต่ละขุม ต้องไปลงนรกบริวารอีก 4 ขุมก่อน แล้วค่อยมว่ากันอีกครั้งว่ามีกรรมเหลือเท่าไร จากนั้นจึงมาเปรียบเทียบใหม่ ว่ากรรมที่หนักที่สุดนั้นมีอยู่เท่าไรเทียบได้กับขุม ใหญ่ขุมไหน ก็ไปยังขุมใหญ่นั้นๆ ต่อไป ...วนเวียนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดกรรม
"ฉะนั้นควรละบาปกรรมทั้งปวง แล้วกระทำแต่กุศลเถิดจะเป็นดีแต่ตัวเราที่สุด หาไม่แล้ว หากกระทำแต่ความชั่ว ก็คงมิรอดพ้นอบายได้เทียว.."
ขอบคุณข้อมูลจาก : เว็บไซต์แห่งการเรียนรู้ - ธรรมทาน - สวรรค์และนรก
ภาพประกอบ : Google
ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการอ่านนะครับขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านนะครับ ขอบคุณครับ😊🙇"
โฆษณา