3 ธ.ค. 2019 เวลา 14:02 • ไลฟ์สไตล์
เรื่องสั้น ลายเวี๋ยนเกี่ยว “สพานผู้ที่มาจากแดนไกล”
วันนี้ยังคงเป็นเหมือนเช่นทุกวัน เสียงผู้คนที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่ไม่ได้ลดลงไปเลย นับตั้งแต่ปี 1999 ที่UNESCO ได้ประกาศให้ที่นี่เป็นมรดกโลก
ผมจำตัวเองแทบไม่ได้แล้วว่าตอนนี้ผมอายุเท่าไร สิ่งที่ผมพอจะจำได้เพียงอย่างเดียวก็คือเจ้าของสิ่งนี้ ผมถือมันติดมือมาตลอดเกือบ 40ปี
ขณะที่ผมเดินทางมากับขณะฑูตญี่ปุ่น เพื่อความสัมพันธ์ทางด้านการค้า ระหว่างประเทศเวียดนามและญี่ปุ่น
โห่ยอาน เมืองนี้ถูกเรียกว่าเช่นนั้น ในช่วงฤดูหนาวที่เปลี่ยนผ่านไปยังฤดูใบไม้ผลิ ลมตะวันออกเฉียงเหนือได้นำเรือสินค้ามาพร้อมกับขณะฑูตญี่ปุ่นของเรามายังเมืองท่าเรือแห่งนี้
ลมหายใจของผมเริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆแล้ว ผมไม่รู้การที่ผมยังมีชีวิตอยู่ หรือ ความทรงจำเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ของผม อันไหนมันทรมานมากกว่ากัน
ผมเฝ้าถามคำถามตัวเอง มาเป็นล้านครั้ง แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่ผมเลือกในวันนั้น มันถูกหรือผิด แต่ช่างมันเถอะเพราะอีกไม่นานผมคงจะจบเรื่องบ้าๆ นี้ได้แล้ว หง็อกควา ยอดรักของผม...
“เธอชอบไหมชูทาโร” เสียงหญิงสาว ผิวขาวร่างเล็กกำลังกล่าวกับผม
“ชอบสิ มันดูหรูหรา และเรียบง่ายดี” ผมยิ้มให้เธอ
“น่าจะเป็นงานช่างชาวฝรั่งเศสนะผมว่า เขาทำออกมาได้ดีเลยที่เดียว” ผมหยิบเจ้าสิ่งนั้นมาพลิกกลับไปกลับมา
“ลุงค่ะหนูเอาอันนี้” หญิงสาวจ่ายเงินให้คนขายแล้ว กลับยื่นเจ้าสิ่งนั้นมาให้ผม
“หง็อกควา คุณไม่จำเป็นต้องซื้อสิ่งนี้ให้ผมก็ได้” ผมส่งคืนเธอพร้อมกล่าวปฏิเสธ
“เถอะนะ ชูทาโร ถือซะว่าเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศล่ะกัน” หญิงสาวกล่าวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
ผมพยักหน้าพร้อมรับสิ่งนั้นมาจากเธอ และคิดในใจว่าผมจะพยายามหาเงินมาซื้ออะไรสักอย่างเพื่อคืนเธอบ้าง
“ชูทาโร เธอรู้ไหม ทำไมฉันถึงซื้อเจ้าสิ่งนี้ให้เธอ เพราะนัดครั้งหน้าเธอจะได้มาตรงเวลาสักที” ใบหน้าของเธอบงบอกถึงคำสั่งขั้นเด็ดขาดกับผม
ผมได้แต่ยิ้มและคิดในใจ หง็อกควา เธอต้องจำวิธีใช้มันผิดแน่ๆ เพราะมันมักเอาไว้ใช้ในการจับเวลาอะไรสักอย่างต่างหาก
หลังจากที่เราเดินแยกทางกันที่สะพาน ลายเวี๋ยนเกี่ยว(สะพานผู้มาจากแดนไกล)ที่ชาวโห่ยอานมักเรียกมันแบบนั้นเพราะ มันถูกสร้างโดยชาวญี่ปุ่นในศตวรรษที่17 และมันเป็นสะพานที่แบ่งเขตชุมชนระหว่างชาวญี่ปุ่นกับชาวจีนอย่างชัดเจน แม้ผู้คนฝั่งชาวจีนจะมีมากกว่า แต่คนทั้งสองเชื้อชาติกลับมีกฎหมายที่ใช้ปกครองเป็นของตัวเอง
ชาวญี่ปุ่นที่ได้ตั้งชุมชนของตัวเองที่เมืองโห่ยอาน พวกเราเรียกชื่อชุมชนนี้ว่า นิฮงมาจิ(Nixon-machi) หลังจากที่ผมเดินแยกจากเธอ ผมก็ยังเดินชมความสวยงามของแม่น้ำทูโบ่น ซึ่งเป็นท่าเรือของเมืองโห่ยอานแห่งนี้
ผมยังจำกระแสลมช่วงฤดูหนาวที่เปลี่ยนผ่านไปยังฤดูใบไม้ ผลิ ลมตะวันออกเฉียงเหนือได้นำเรือสินค้าญี่ปุ่นและคณะฑูตมายังเมืองโห่ยอาน ก่อนหน้านี้พวกเราแล่นเรือออกมาจากเมืองนางาซากิ(Nagasaki) มุ่งหน้าไปที่อานนาม(An Nam)
เพื่อที่จะขายสินค้าให้กับชาวอานนามที่นั่น เช่น ทองแดง ทองสัมฤทธิ์ เหรียญโลหะ ชาวอานนามที่นั่นจะซื้อสิ้นค้าพวกนั้นไปผลิตปืน และผลิตเหรียญเพื่อใช้ในการค้าขาย
หลังจากนั้นเราจึงแล่นเรือตามกระแสน้ำ มาที่เมืองโห่ยอานแห่งนี้เพื่อที่เราจะซื้อน้ำตาล และเครื่องเทศ ไม้แกนจันทร์เพื่อนำกับไปขายที่ญี่ปุ่น
นี้ก็ผ่านมาเกือบ 2ปีแล้วที่ผมเดินทางมาจากญี่ปุ่น ครอบครัวผมที่นั้นค่อนข้างยากจน ผมจึงต้องขอสมัครมากับเรือสินค้านี้ เพื่อหวังจะได้กลับไปใช้ชีวิตที่สุขสบายที่บ้านเกิดบ้าง
แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิดผมกับมาติดอยู่ที่เมืองท่าแห่งนี้หลายเดือนแล้ว เงินที่ได้จากการทำงานของผมก็ร่อยหรอลงไปทุกที สิ่งเดียวที่ยังทำให้ผมเดินยิ้มได้อยู่ทุกวันนี้คงเป็นเธอ “หง็อกควา”
ผมยังคงเดินยิ้มไปตลอดทางริมแม่น้ำทูโบ่น เพราะพรุ่งนี้ผมคงจะได้พบเธออีก แต่สิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็คือมันกลับเป็นการได้พบเธอเป็นครั้งสุดท้าย...
ปล จบตอนก่อนนะครับ ตอนนี้จะเป็นเพียงการเกริ่นนำที่ไปที่มาก่อนนะครับ หวังว่าเพื่อนๆอ่านแล้วยังอยากจะอ่านตอนต่อไปว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชูทาโรและหง็อกควา นะครับ และขอฝากเรื่องสั้นหรือป่าวก็ไม่รู้ของใจดีไว้ด้วยนะครับ
##ขอบคุณพี่ๆน้องๆ ที่เข้ามาเป็นกำลังใจให้กันนะครับ##
โฆษณา