23 พ.ย. 2019 เวลา 13:05 • ธุรกิจ
วันก่อนผมได้เล่าไปแล้วว่าตอนนี้ประเทศเกาหลีใต้กำลังเกิดสภาวะขาดแคลนเจ้าสาวอย่างหนัก และอาจนำไปสู่ปัญหาประชากรหดตัวในอีก 20-30 ปี ข้างหน้าร่วมด้วย เพราะผู้หญิงเกาหลีใต้จำนวนมากเริ่มมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำงานเก่งขึ้น เลยไม่ค่อยอยากแต่งงาน หรือมีครอบครัว ผู้ชายเกาหลีใต้เลยโสดกันเยอะ เพราะหาแฟนไม่ได้
3
ซึ่งจริงๆมีอีกด้านหนึ่งที่ผมอยากจะเล่าครับ ผมบอกไว้แล้วว่าสังคมที่เกาหลีใต้นั้นค่อนข้างอนุรักษ์นิยมและหัวโบราณพอสมควร แม้ว่าคนรุ่นใหม่ในเกาหลีใต้จะได้รับการศึกษาที่สูงขึ้น แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้สังคมเกาหลีในปัจจุบันนี้มีความทันสมัยมากขึ้นแต่อย่างใดเลย ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
อย่างแรกเลย สังคมเกาหลีนั้นยังเป็นสังคมที่คาดหวังให้ ‘ผู้หญิง’ นั้นมีหน้าที่อยู่บ้าน ทำกับข้าว ทำงานบ้าน เลี้ยงดูแลครอบครัว ลูก และคนแก่อยู่บ้านมากกว่าจะต้องออกไปทำงานนอกบ้าน
1
หากผู้หญิงมีความจำเป็นต้องออกไปทำงานนอกบ้านเพื่อหารายได้เสริม ก็สามารถทำได้ แต่คนในครอบครัวจะคาดหวังให้พวกเธอเหล่านั้นไม่บกพร่องในหน้าที่งานบ้านงานเรือน
1
ความเป็นแม่ศรีเรือนภายในสังคมเกาหลีใต้จึงเป็นแนวคิดที่ค่อนข้างจำเป็น และเป็น ‘สิ่งบังคับ’ ภายในสังคมที่นั่น ผู้หญิงที่แต่งงานเข้าบ้านคนเกาหลีนั้นจึงจำเป็นต้องดูแลทั้งลูก สามี และพ่อแม่ของสามี
1
ผมเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของสาวเวียดนามที่ต้องแต่งงานเข้าบ้านคนเกาหลีอยู่หลายราย บางครั้งผมก็เดินเข้าไปถามตรงๆกับลูกค้าที่เจอกันในไทย เขามักเล่าว่า การเป็นสะใภ้เกาหลีนั้นต้องรู้จักตื่นเช้าขึ้นมาทำงานบ้าน ต้องตื่นตี 4 ตี 5 ทุกวัน เพื่อไปตลาด และจัดเตรียมทำอาหารให้กับทุกๆคนในบ้าน
หากมีลูกหลาน ก็ต้องเป็นคนขับรถไปส่งเด็กๆที่โรงเรียน ในขณะที่สามีสามารถออกจากบ้านแล้วตรงไปทำงานได้เลยหลังกินอาหารเช้าเสร็จ หากอยากทำงานหารายได้ ทางครอบครัวมักอนุญาตให้ทำได้แค่พาร์ทไทม์ ไม่ใช่งานประจำ คือทำได้แค่ครึ่งวันเท่านั้น เพราะต้องแบ่งเวลาอีกครึ่งวันไว้ทำงานบ้าน
กวาดถูบ้าน รดน้ำต้นไม้ ดูแลคนแก่ ผู้สูงอายุภายในบ้าน พอตกบ่ายแก่ๆก็ต้องเตรียมวัตถุดิบเพื่อทำอาหารรอรับสามีกับลูกๆที่กลับมาบ้าน หากลูกต้องทำการบ้าน คนเป็นแม่นั้นมีหน้าที่หลักในการช่วยลูกทำการบ้าน กรณีที่เลวร้ายที่สุดหากคนแก่ในบ้านไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ คนที่เป็นสะใภ้จำเป็นต้องอยู่ดูแล พาเข้าห้องน้ำ พาไปขี้ เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ทุกอย่าง
5
อีกเรื่องหนึ่งที่ควรระวังไว้ สำหรับใครที่อยากแต่งงานไปเป็นสะใภ้หนุ่มเกาหลีก็คือ เกาหลีใต้นั้นมีสถิติการตบตีทำร้ายร่างกายภรรยาสูงเป็นอันดับแถวหน้าของเอเชียเลย ปี 2018 จากการสำรวจของสำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในกลุ่มตัวอย่างประมาณ 1,000 คนนั้นเผยว่า มีประมาณ 60% กว่านั้นถูกสามีตนเองข่มขืนโดยไม่ยินยอม
1
ส่วนอีกกว่า 40% มักเป็นผู้ที่ถูกสามีตบตีทำร้ายร่างกายเป็นประจำ การตบตี และเตะภรรยาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติของสังคมเกาหลีใต้มาช้านาน (อย่างล่าสุดก็เคสที่เกิดขึ้นใน South Jeolla) ยิ่งหากฝ่ายหญิงเป็นชาวต่างชาติ เช่น เวียดนามด้วยแล้ว การทุบตี ทำร้ายร่างกายยิ่งเกิดขึ้นได้ง่ายมาก
1
บางเคสหนักสุดถึงขั้นฆ่าแฟนตัวเองตายเลยก็มีนะ อย่างในปี 2010 ฝ่ายหญิงก็โดนเอามีดแทงจนตาย ทั้งๆที่เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน ในปี 2019 เมื่อกลางๆปีนี้เองก็มีการทุบตีเอาเท้าเหยียบรวมถึงกระทืบภรรยาตัวเองจมดินต่อหน้าลูกก็มี ด้วยเหตุผลเล็กๆน้อยๆอย่าง “เพราะมันพูดภาษาเกาหลีไม่ชัด...เลยต้องลงโทษ”
** สถิติปี 2018 มีเหตุการณ์ผู้ชายเกาหลีใต้ฆ่าภรรยาตัวเองตายหลายคดีมาก
เพราะฝ่ายชายเชื่อว่าผู้หญิงไม่มีข้อต่อรอง และมักต้องพึ่งพาฝ่ายชายเป็นหลักในเรื่องรายได้ เพราะถึงอย่างไร ไม่ว่าการทุบตี ทำร้ายร่างกายจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน ฝ่ายหญิงก็มักไม่ไปแจ้งตำรวจอยู่ดี เนื่องจากวัฒนธรรมเกาหลีนั้นมักมองว่าการทุบตี เตะต่อยภรรยาเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องของครอบครัว จึงมักให้จัดการเจรจาประนีประนอมกันเอง
1
โดยจากสถิติการแจ้งความคดีทำร้ายร่างกายคนในครอบครัว ของสำนักงานตำรวจนั้นพบว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีเพียง 13% เท่านั้นที่ตำรวจยินยอมดำเนินการออกหมายจับ และเข้ามาจับกุม มีเพียงประมาณ 9% เท่านั้นที่ขั้นตอนสามารถดำเนินไปได้จนถึงการฟ้องร้องในชั้นศาล
1
** แต่มีเพียงไม่ถึง 1% ของคดีความทั้งหมดที่สามารถเอาผิดและจับผู้ต้องหาเข้าคุกได้ **
นอกจากนี้การเป็นลูกสะใภ้คนเกาหลีใต้นั้นเวลาออกไปทำงานยังเสี่ยงกับการโดนเหยียด โดนกลั่นแกล้งจากเพื่อนร่วมงานด้วย ตั้งแต่การตะโกน หรือใช้น้ำเสียงที่ไม่ดีพูดด้วย การแบน การไม่ยอมพูดด้วย การกีดกันไม่ยอมให้นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะด้วย
1
พอมีลูกก็เหมือนกัน สังคมเกาหลีเป็นสังคมที่ค่อนข้าง Bully และชอบเหยียดสีผิว กับหน้าตามากสังคมหนึ่งอยู่แล้ว พอลูกเริ่มโตจนถึงวัยที่เข้าเรียนในโรงเรียนได้ ก็จะเจอกับสังคมผู้ปกครอง และพ่อแม่เด็กคนอื่นๆ เด็กคนอื่นๆอาจจะไม่ยอมมาเป็นเพื่อนกับลูกของผู้หญิงชาวต่างชาติ
โดยเฉพาะถ้ามีคนเห็นเด็กพูดภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาเกาหลีกับคนเป็นแม่ สังคมจะมองเป็นเรื่องผิดปกติทันที บางทีเด็กๆถึงขั้นต้องเดินหนีแม่ หรือเดินห่างจากแม่ตัวเองเวลาออกไปข้างนอกบ้าน เพื่อไม่ให้คนอื่นนินทาแล้วเอาไปกลั่นแกล้งในโรงเรียน (เด็กๆก็มักชอบล้อกันเรื่องสัญชาติ เรื่องหน้าตาและสีผิวไม่ต่างจากผู้ใหญ่)
3
สถานการณ์เหล่านี้สร้างความแปลกแยกและความลำบากใจให้กับชีวิตวัยเด็กของเด็กที่เป็นลูกครึ่งภายในเกาหลีใต้อย่างมาก จนบางครั้งเด็กต้องย้ายโรงเรียนหนีไปอยู่กับโรงเรียนที่มีสัดส่วนลูกครึ่งภายในโรงเรียนเยอะขึ้น
ในปัจจุบันนี้สถานการณ์ค่อนข้างพัฒนาขึ้นมาหน่อย เพราะจำนวนเด็กลูกครึ่งในเกาหลีมีมากขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จากเดิมมีประมาณ 30,000 คน ตอนนี้มีเพิ่มมาเป็นประมาณ 100,000 กว่าคนแล้ว รัฐบาลเลยสามารถเปิดทำเรื่องเปิดโรงเรียนเฉพาะให้กับคนกลุ่มนี้ได้
แต่ก็เป็นปัญหาที่เห็นได้อย่างชัดเจนถึงความแปลกแยก ความกีดกัน และการเหยียดสีผิว เหยียดเชื้อชาติที่เกิดขึ้นในเกาหลีใต้อยู่ดี ปัญหาเหล่านี้เลยทำให้การแต่งงานกับสาวต่างชาติในหมู่คนเกาหลีใต้นั้นไปไม่รอด แม้จะมีสถิติการจดทะเบียนสมรสสูงขึ้นทุกปี แต่สถิติการหย่าร้างก็สูงขึ้นตามมาด้วยเช่นกันใน 3-4 ปีหลังจากแต่งงานกัน
ก็ถือเป็นอีกด้านหนึ่ง หากใครรักใคร่ชอบพอกับหนุ่มๆเกาหลีก็ให้ศึกษาดูใจกันให้ดี เพราะถึงแม้ว่าประเทศเกาหลีจะพัฒนาแล้ว แต่สังคมในเกาหลีใต้ยังคงมีลักษณะที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยมและชายเป็นใหญ่อยู่ ยิ่งหากเป็นชาวต่างชาติที่แต่งงานเข้าบ้านคนเกาหลีด้วยแล้ว โอกาสที่จะถูกโขกสับจากทางบ้านของฝ่ายยิ่งมีสูง
อย่างหนึ่งที่อยากให้ระวังกันไว้คือมันไม่ได้เป็นเหมือนในซีรีส์หรือในละคร ความโรแมนติคมันไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป หรือหาได้ง่ายในสังคมนี้ขนาดนั้น เพื่อนผมสมัยเรียนหลายคนก็เป็นเกาหลีใต้ เขาก็บอกว่าไม่อยากแต่งงานกับผู้ชายที่เกาหลีเหมือนกัน ไปแต่งกับคนจีนดีกว่า เพราะคนจีนเอาใจใส่ผู้หญิง ดูแลครอบครัวดีกว่าคนเกาหลีใต้อีก
1
โฆษณา