24 พ.ย. 2019 เวลา 01:39 • ความคิดเห็น
สมองของเรามีความสามารถ ทำงานได้ไว และซับซ้อนมาก
ถ้าเทียบกับคอมพิวเตอร์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นขนาดซุปเปอร์คอมพิวเตอร์เป็นแสนๆล้านๆตัว ยังไม่สามารถทำงานเทียบเท่าสมองมนุษย์ไม่ได้เลยแม้แต่เสี้ยวเดียว
จนผมแอบคิดไม่ได้ว่าธรรมชาติสร้างมนุษณ์เรามาได้ยังไง วิวัฒนาการ เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำยังไง นักวิทยาศาสตร์จะพยายามสร้าง CPU ที่ทำงานเทียบเท่าสมองนั้น ก็ยังเป็นเรื่องทียากที่จะทำได้
ััวันนี้ผมคงไม่ได้มาเล่าเรื่องวิทยาศาสตร์หรอกครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีววิทยาหรือคอมพิวเตอร์
แต่เป็นมุมมองส่วนตัวเกี่ยวกับการที่มีเราชีวิตเป็นอยู่อย่างไร มีความสุขมั้ย เป็นอยู่อย่างไร ประสบความสำเร็จมั้ย ถ้ายัง(ผมก็ยัง😀)เราควรปรับอะไรเป็นอย่างเเรก
จริงอยู่ถ้าเอาคอมพิวเตอร์กับสมองมาแข่งกัน ในหลายๆเรื่องคอมพิวเตอร์เป็นฝ่ายชนะ อย่างเช่น แข่งหมากรุก การคำนวนทางคณิตศาสตร์ และอื่นๆที่มีทิศทางแน่นอน
คอมพิวเตอร์มีการทำงานที่มีทิศทางแน่นอน การทำงานของสมองสะเปะสะปะ สิ่งที่เรามี แต่คอมพิวเตอร์ไม่มีคือ ความรู้สึก หรือจิต การทำงานของคอมพิวเตอร์จะส่งผ่านหน่วยประมวลผลต่างๆ ส่วนสมองเราควบคุมการทำงานของเซลมากกว่า 9 หมื่นล้านเซลส่งผ่านการเชื่อมต่อด้วยเส้นประสาท ปริมาณสัญญานที่ทำงานนั้นมีมากกว่าล้านล้านครั้งที่มีการวิ่งผ่านสมอง
สมองเราคิดตลอดเวลาหลายหมื่นเรื่องต่อวัน ถ้าเราไม่มีสมาธิ จิตฟุ้งซ่าน พลังสมองจะถูกใช้ไปแบบสูญเปล่าเป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าเราควบคุมความคิดให้ไปในทิ
ศทางเดียวกันได้ละก็ จะเกิดพลังมหาศาลแค่ไหน เราคงสร้างสิ่งมหัสจรรย์หรือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้แน่ๆ
ถือว่าโชคดีที่ศาสนาพุทธของเรา เน้นการสอนเรื่องจิต (ไม่ได้หมายความว่าศาสนาอื่นไม่สอนหรือไม่ดีนะครับ แค่คำสอนมีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป)
การทำงานของคอมพิวเตอร์สำเร็จลุล่วงโดยระบบปฏิบัติการ(OS) และโปรแกรม(Software) แต่สมองเราจะโปรแกรมยังไง การฝึกจิตให้มีความแข็งแรง มีพลัง(ไม่ใช่พลังจิตแบบยกของได้นะ😀) ไม่ใช่เรื่องง่ายๆแบบเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เราฝึกกันบ้างไม่ฝึกกันบ้าง เพราะเราส่วนใหญ่ไม่ให้ความสำคัญมันไง
เวลาเราคิดเรื่องอะไรอยู่ ยังไม่ทันจบ เราก็เปลี่ยนไปคิดเรื่องอื่นละ เวลาเรียนหนังสือ จดจ่อกับการเรียนพักนึงใจก็ล่องลอยออกไปนอกโรงเรียน เวลาทำงานคิดงานอยู่ที่โต๊ะ จิตเราพาเรากลับไปคิดถึงเรื่องที่บ้าน ปัญหานู้นปัญหานี้ เป็นทั้งวันแหละ...
การนั่งสมาธิคือการฝึกควบคุมจิต ปกติคนไม่มีสมา
ธิจะคิดฟุ้งซ่าน กำลังของจิตจะอ่อนลง เมื่อใดที่สามารถ รวบรวมกำลังความคิดให้เป็นหนึ่งเดียว จะเกิดเป็นกำลังสมาธิ ถ้ากำลังสมาธิสูงขึ้นมากๆจะกลายเป็นความมุ่งมั่น
การสวดมนต์ก็ช่วยให้เกิดสมาธิได้ กำลังสติเพิ่มขึ้น ขณะที่กำลังรู้สึกว่าจิตตก ฟุ้งซ่าน ให้หาบทสวดง่ายๆขึ้นมาท่องในช่วงนั้น ถ้าเกิดความศรัทธาขึ้นระหว่างสวดจะทำให้มีพลังใจ ปฏิกิริยาภายในร่างกาย ทั้งระบบฮอร์โมน ความดันโลหิต กล้ามเนื้อ จะเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
การเดินจงกรมก็เป็นการกระตุ้นสมองวิธีหนึ่ง เพราะขณะที่เดิน ร่างกายจะมีการขยับซ้ายขวาสลับกันไป ทำให้สมองซีกซ้ายและขวาทำงานประสานกัน
กำหนดสติดดูกาย(ท่าเดิน)
กำหนดสติดูจิต(กำลังคิดอะไรอยู่ อารมณ์เป็นอย่างไร)
กำหนดดูเวทนา(เมื่อยมั้ย ปวดต้นคอมั้ย)
ดังนั้นหากเรานั่งทำงานนานๆ เริ่มล้า ความคิดไม่จดจ่อ อาจจะลุกขึ้น บิดร่างกาย และใช้วิธีการเดินและกำหนดสติจับไปที่การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างละเอียดในทุกๆก้าว..
จิตเราคือสิ่งพื้นฐานจริงๆที่เราจะต้องเข้าใจและศึกษา ฝึกฝนให้มีกำลังแข็งแรงก่อนที่จะศึกษาในเรื่องอื่นๆ ไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งการแก้ปัญหาชีวิต หรือการสร้างความสำเร็จให้กับตัวเอง
แต่เสียดายที่เราไม่ได้ฝึกฝนกันตั้งแต่เด็ก ส่วนใหญ่เรามักคิดจะมานั่งสมาธิ สวดมนต์ เมื่อเราเกิดปัญหา เกิดความไม่สบายใจทุกช์ใจ อย่างผมเองในช่วงที่มีปัญหาอย่างมากมายขึ้นมาแล้ว ผมถึงค่อยมานึกถึง ค่อยมาฝึกค่อยมาปฏิบัติ เลยมาเล่าให้ฟัง ว่าการปฏิบัติ ฝึกฝนเรื่องจิตเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อเราเจอปัญหาชีวิตขึ้นมาสักวันนึง จิตที่แข็งแกร่งจะช่วยต้านแรงกระทบทีจะเกิดขึ้นกับตัวเราได้อย่างดี
การเจริญสติคือ การกำหนดอิริยาบถให้ทันในปัจจุบัน การรับรู้ความรู้สึกในทวารต่างๆให้มากที่สุด
ลำดับความสำคัญ(ถ้าทำได้)จะเรียงดังนี้
1. การกำหนดสติรู้ในทุกอิริยาบถ
2. การเดินจงกรม
3. การนั่งสมาธิ สวดมนต์
ไม่ยากใช่มั้ยครับ.. แค่นี้เอง แต่สิ่งที่เราจะได้ มันมากมายจริงๆ นะ นะ 😇😇😇
ขอบคุณมากครับ😆
กร 24/11/62
โฆษณา