26 พ.ย. 2019 เวลา 14:01 • ไลฟ์สไตล์
ความทรงจำในวันวาน (ต่อตอนที่4 ตอนจบ)
หลังจากที่ยายออกจากโรงพยาบาลแล้ว
อาการป่วยก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ถึงกับ
แข็งแรงมากและต้องมีคนดูแลอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งก็คือแม่
Cr. Manoot_Si
(เพื่อที่จะเข้าใจเรื่องราวมากขึ้น
โปรดอ่านความเดิมตอนที่แล้ว)
ส่วนฉัน ตอนนี้ไม่ต่างจากซอมบี้
สภาพดูไม่จืดเท่าไหร่ ไม่ใช่แค่ฉันหรอก
ที่เป็นแบบนี้ เด็กปี4เทอมสุดท้ายอย่างฉัน
กับเพื่อนก็พอ ๆ กันนั่นแหละ นิสิตชั้นปีอื่น
ก็ไม่ได้ต่างกันมากหรอก เรียกได้ว่าแทบ
จะกินนอนอยู่ที่คณะ
ห้อง หอ ไม่กลับกันเลยทีเดียว 
เคลียร์งานส่งอาจารย์ อ่านหนังสือสอบ 
แต่ละอย่างหนัก ๆ ทั้งนั้น
เคลียร์งานส่งอาจารย์
มันหนักมันเหนื่อยตรงที่เป็นงานกลุ่ม
ความที่งานทุกวิชาต้องส่งก่อนสอบไฟนอล
และแต่ละคนก็จะมีกลุ่มของตัวเอง วิชาละกลุ่ม
มีไม่กี่วิชาที่อยู่กับเพื่อนคนเดิม ทำให้ไม่รู้จะ
ไปทำงานวิชาไหนก่อนดี เพื่อนงานกลุ่มวิชานั้น
ก็นัด วิชานี้ก็นัด แยกร่างก็ไม่ได้ ไปตามที่เพื่อน
นัดไม่ได้ก็เอางานส่วนที่ได้รับผิดชอบ
มาทำที่อื่นแทน ก็ต้องทำไปเท่าที่จะสามารถทำได้
และสุดท้ายก็ผ่านมาได้
แต่ มันยังไม่จบหรอกเพราะส่งงานเสร็จปุ๊ป
ก็สอบไฟนอลพอดี หนังสือหนังหาก็แทบ
ไม่มีเวลาอ่าน ส่วนเวลานอนไม่ต้องพูดถึง
บางวันฟ้าแจ้งจ่างป่าง สว่างคาตาก็ยังไม่ได
้นอนก็มี
ฉันอ่านหนังสือก่อนสอบ ซึ่งมันก็ก่อนสอบจริง ๆ
พรุ่งนี้สอบ คืนนี้อ่าน(เป็นอะไรที่ไม่ควรทำ)
ต่างจากตอนปี 1 ที่อ่านก่อนสอบเกือบ 2 สัปดาห์
และฉันเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือทำความเข้าใจคนเดียวมากกว่าไปติวกับเพื่อน ฉันรู้สึกว่ามีสมาธิและเข้าใจมากกว่า ส่วนตรงไหนที่ไม่เข้าใจจริง ๆก็ค่อยถามเพื่อนเอา
และแล้วการสอบไฟนอลก็ผ่านพ้นไป
และเมื่อฉันสอบไฟนอลเสร็จ เคลียร์เรื่องเรียน
เรื่องทุกอย่างเรียบร้อยก็เก็บของกลับบ้าน
แม่บอกให้ฉันมาอยู่บ้านดูแลยายแทนแม่ก่อน
สักสองเดือน รอให้พ่อกับแม่ตัดอ้อยเสร็จ
แล้วค่อยไปหางานทำ ถึงแม่ไม่บอก
ฉันก็กลับมาอยู่ที่บ้านก่อนอยู่ดี เรียนจบแล้ว
ฉันยังไม่อยากทำงานเลยหรอก อยากพักผ่อนก่อน
ตอนนี้อาการป่วยของยายดีขึ้นมาก
แต่ก็ยังไม่สามารถเดินเหินไปไหนมาไหนได้
มีแต่นอนอยู่บนเตียง เวลาต้องการอะไร
หรืออยากเข้าห้องน้ำก็จะเรียกลูกหลานมาช่วยพยุง เป็นแบบนี้ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล
ซึ่งก็ได้ 20 วันแล้ว ช่วงที่แม่ดูแลยายเรียกได้ว่า
ห่างไปไหนไกลไม่ได้เลย ยายจะเรียกหาตลอด
บางทีก็เรียกเฉยๆ ไม่ได้มีอะไรหรือต้องการอะไร
เหมือนเรียกเช็คดูว่ายังอยู่ด้วยไหม หรือกลัวต้องเหงาอยู่คนเดียวก็ไม่รู้
Cr. Manoot_Si
หลังจากกลับมาอยู่บ้านฉันก็ดูแลยายแทนแม่เลย
พอฉันมาดูแลยายในสองสามวันแรก
ฉันก็ทำแบบแม่นั่นแหละ คอยอยู่เป็นเพื่อน
คอยเปลี่ยนผ้าอ้อม ซึ่งอันนี้ยายดันบอกว่าอาย
มันสกปรกไม่อยากให้ฉันทำ(จะอายทำไมตอนฉันยังเด็กยายก็ทำให้ฉันแบบนี้นี่นา)
แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ทำอยู่ดี พยุงไปห้องน้ำ อาบน้ำ
สระผม เช็ดตัว ทำกับข้าวให้ จัดยาให้กินและ
นั่งมองยายกินจนหมด (ยายเป็นคนที่ไม่ชอบกินยาเคยเอายาไปซ่อนด้วย แล้วบอกว่าไม่อยากกิน
ไอ้เราก็หาไปสิ หาไม่เจอหรอก ซ่อนไว้ดีเกิน)
แต่พอวันที่สี่ ที่ห้า ฉันเริ่มจะไม่อยู่ด้วย
ตลอดเวลาแล้ว เวลายายเรียกก็ไม่ขานบ้าง
ทำหูทวนลมไม่ได้ยิน เวลาที่ยายอยากได้อะไร
ที่มันไม่ได้อยู่บนเตียงหรือว่าแถวนั้น ในรัศมีที่สามารถเอื้อมถึงได้ แต่ฉันก็ไม่ได้เข้าไปหา
ปล่อยให้ยายไปเอาเอง ยายจะไปแบบไหน
จะค่อยๆนั่งแล้วกระเถิบไป หรือใช้ไม้เท้าค้ำ
พยุงตัวหรืออะไรก็ตามแต่ยายจะสะดวกทำเลย
แล้วทีนี้ยายก็ไปฟ้องแม่ให้แม่มาบ่นฉันอีกที
ตัวยายเองก็บ่นน้อยใจฉัน บอกว่าฉันใจร้าย
บอกว่าฉันไม่รัก แม่ฉันที่ดูแลยายอย่างดี
แต่ฉันดันทำค่อนข้างจะตรงข้าม
แล้วฉันที่ได้ยินแบบนั้นก็ฟังหูซ้ายก็ทะลุออกหูขวา
ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เหมือนฉันเป็นหลานที่แย่ใช่ไหม
ไม่ดูแลยายให้ดี ทรมานยาย ให้ยายไปไหนมาไหนเอง
จริงๆแล้วฉันมีเหตุผลที่ทำแบบนั้นนะ
ถ้าฉันคอยอยู่ดูแล ช่วยทำทุกอย่างให้ตลอด
ยายก็จะนอนอยู่แต่บนเตียง ไม่ฝึกเดินให้แข็งแรง
ไม่ออกไปไหน และก็จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ
และนั่นอาจทำให้ยายกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง
ไปเลยก็ได้
ฉันรู้ดีว่าตอนนี้ร่างกายยายแข็งแรงมากพอที่จะเดินไปไหนมาไหนได้เองถึงแม้จะต้องใช้ไม้เท้าก็เถอะ
แต่ที่ยังเป็นแบบนี้คงเพราะใจและสมองของยาย
สั่งการว่าฉันป่วยอยู่ ฉันไม่แข็งแรงก็เท่านั้น
ซึ่งมันทำให้ยายไม่ยอมหัดเดินไปไหนมาไหน
และถึงแม้ฉันจะปล่อยให้ยายช่วยเหลือตัวเอง
ก็จริง แต่ก็ยังคอยดูอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ ไม่ได้ปล่อยปะละเลยไปเลย  ฉันปล่อยแค่เรื่องการเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนนี่แหละ อย่างอื่นก็ยังดูแลปกติเหมือนเดิม
Cr. Pixabay
รู้ไหม หลังจากที่ฉันปล่อยให้ยายดูแลตัวเอง
นั้นไม่กี่วันยายก็สามารถพาตัวเองเดินไปหน้าบ้าน
ลานบ้านเองได้โดยใช้ไม้เท้าค้ำไม่ต้องให้ใคร
ช่วยพยุง
ลูกหลานที่อยู่บ้านข้างๆกันยังตกใจเลย
เมื่อเห็นยายเดินออกมานอกบ้านแบบนี้
เพราะตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมา
ปกติยายจะนอนอยู่แต่บนเตียงข้างในบ้าน
ไม่ออกมาเดินเหินแบบนี้ แล้วป้ากับลูกพี่ลูกน้อง
ของฉันก็ถามว่า เพราะอะไรยายถึงออกมาเดินแบบนี้ได้แข็งแรงดีแล้วเหรอ ฉันเลยเล่าไปตามจริง
ซึ่งคำพูดที่ได้ยินกลับมาคือ
"เออ แม่เราดูแลยาย ดีเกินไปจริงๆแทบไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลย จะไปไหนไกลเกิน 20-30 เมตร
ไม่ได้หรอก เราก็ใจร้ายนะเนี่ย แต่มันก็ดีนะที่สามารถทำให้ยายเดินออกมาข้างนอกบ้านได้แบบนี้ สรุปคือคำชมใช่ไหมนะ
1 สัปดาห์ผ่านไป หลังจากที่เดินมาหน้าบ้านแล้ว
ตอนนี้ก็เดินรอบบ้านได้สบายเลยล่ะ มีเดินเข้าซอยไปเยี่ยมเพื่อนบ้านด้วยซึ่งฉันก็ไปด้วยนะ
1 เดือนผ่านไปยายก็เหมือนจะกลับมาใช้ชีวิตปกติ
เหมือนตอนก่อนจะเข้าโรงพยาบาลเลยเพียงแต่
ไม่ได้แข็งแรงเท่าตอนนั้นเท่านั้นเอง
2 เดือนผ่านไปตามที่แม่ขอให้ฉันอยู่บ้านก่อน
แต่ฉันก็ยังอยู่บ้านต่อจนเข้าเดือนที่4
ถึงเริ่มหางานทำ ก็คนมันยังอยากอยู่บ้านนี่นะ
ทุกคนที่บ้านฉันอยากให้ฉันหางานทำใกล้ๆบ้าน
แต่แถวบ้านมันมีแต่เปิดรับคนที่มีประสบการณ์
แล้วเท่านั้น เด็กจบใหม่อย่างฉันก็ต้องมาทำงาน
ที่กรุงเทพ เพราะแถวนี้เปิดรับเด็กจบใหม่
Cr. Manoot_Si
แล้วจนถึงทุกวันนี้ก็เกือบ7เดือนแล้ว
ที่ฉันมาทำงานอยู่กรุงเทพคนเดียว 
เวลาคิดถึงบ้านก็โทรหา วีดีโอคอลหา
เวลาถามว่ายายสบายดีไหม
คำตอบที่ได้คือ 3วันดี 4วันไข้
หรือไม่ก็ แม่จะตายแล้ว
(ยายจะแทนตัวเองว่า แม่ กับลูกหลานตลอด)
อย่างเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ยายก็พูดกับฉันว่า
"แม่จะตายแล้ว แม่ปวดฟันมากเลย
ทำไมคนเราต้องเจ็บต้องป่วยด้วย
มันทรมาน ไม่อยากเจ็บไม่อยากปวดเลย"
ยายพูดออกมาอย่างเบื่อหน่ายกับสิ่งที่เป็นอยู่
ฉันเลยได้ตอบกลับไปทันทีว่า
"เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้ " พูดเป็นทำนองบทสวดเลยล่ะ
พอฉันพูดจบเท่านั้นแหละ แม่ก็หัวเราะออกมาทันที
"เมื่อไหร่จะหมดเวรหมดกรรมตายไปจากโลกนี้
สักที " ยายพูดต่ออย่างคนที่ถามหาความตาย
"เรามีกรรมเป็นของของตน เป็นผู้รับผลของกรรม
มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็น
ที่พึ่งอาศัย" ฉันตอบกลับเป็นบทสวดไปอีกครั้งอย่างที่ไม่รู้จะพูดอะไร แล้วยายก็พูดต่ออีกว่า
"คนที่ตาย เขาหมดเวรหมดกรรมใช่ไหม
แล้วคนที่ยังอยู่ คือคนที่มีกรรม " แม่เลยพูดขึ้นว่า
"เคยได้ยินว่าคนที่ตายไปแล้ว เขาเรียกหมดบุญแล้วนะแม่ แต่จะหมดบุญหรือหมดกรรม ความจริง เป็นอย่างไรก็ไม่มีใครรู้หรอก" ฉันเลยพูดต่อไปว่า
"แต่หนูว่า คนที่อยู่คือคนที่มีบุญนะมีบุญที่ยังมีโอกาสได้สร้างบุญสร้างกุศลสร้างคุณงามความดี แต่เป็นคนที่มีบุญและยังมีกรรมร่วมด้วย มีความเจ็บไข้ความทุกข์ทนในขณะที่ยังมีชีวิต"
แล้วหลังจากนั้นบทสนทนาของพวกเราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ล่าสุดเมื่อวานก่อน ฉันถามยายว่าสบายดีไหมตอบกลับว่า สบายดี ซึ่งมันทำให้ฉันแปลกใจไม่น้อยเลย เพราะน้อยครั้งมากที่จะได้ยินแบบนี้
แต่มันก็ทำให้รู้สึกดีมากกว่า "แม่จะตายแล้ว" ประโยคที่ได้ยินทุกวันจนแทบจะกลายเป็นคำทักทายอย่างที่ป้าฉันเคยพูดไว้ ยายพูดแบบนี้มา 20 กว่าปีแล้ว แต่ก็ยังอายุยืนกว่าตาที่ไม่ได้พูดอะไรที่เกี่ยวกับความตายเลย ท่านยังเสียไป 22 ปีแล้วเลย
คนที่ยังอยู่ก็ไม่รู้จะอยู่ด้วยกันนานแค่ไหน
เพราะไม่สามารถหยั่งรู้อนาคตได้
กำลังใจ
เป็นเรื่องที่สำคัญมากเลยไม่ว่าจะยามปกติ
หรือยามที่ป่วยไข้ คนป่วยต้องการกำลังใจ
คนที่ดูแลคนป่วยก็ต้องการกำลังใจไม่แพ้กัน
โดยเฉพาะใครที่เป็นเหมือนฉัน คนที่เรารักบ่น
จะตาย จะตาย อยู่ทุกวัน มันเป็นอะไรที่มีผล
ต่อความรู้สึกมากเลยนะ แต่ฉันและครอบครัว
ญาติพี่น้องคอยให้กำลังใจกันถึงได้ผ่าน
ความรู้สึกแย่ๆไปได้
ฉันเคยบอกไว้ว่า ถ้าเขียนเรื่องนี้จบจะบอกว่า
ทำไมถึงเอาเรื่องนี้มาเล่า คำตอบ คือ
แค่อยากเล่า อยากเล่าสู่กันฟังให้คนที่ได้
อ่านบทความนี้ได้ตระหนักเอาไว้ว่า
การเจ็บป่วย หรือการตาย เป็นเรื่องที่ไม่ได้
ไกลตัวเลยและสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
เกิดขึ้นกับใครก็ได้
ทุกวันนี้ฉันได้ยินเสียงและเห็นรถฉุกเฉิน
ทั้งของโรงพยาบาลและกู้ภัย วิ่งผ่านหน้าไป
ไม่รู้วันละกี่รอบ แต่ละวันอุบัติเหตุก็เกิดขึ้น
เยอะแยะมีทั้งคนที่บาดเจ็บและเสียชีวิต
คนที่เป็นโรคประจำตัวก็มีอยู่ไม่น้อย
Cr. Pixabay
เมื่อช่วงต้นเดือนฉันก็ไปงานศพมา
ศาลาแต่ละหลังของที่วัดไม่มีศาลาว่างเลย
ผู้คนแต่งกายด้วยชุดดำเพื่อไว้ทุกข์
ให้แก่ผู้ที่ลาลับโลกนี้ไปแล้ว
บรรยากาศภายในอบอวนไปด้วย
กลิ่นอายของความโศกเศร้า
ความตาย หรือ การเสียชีวิต 
เป็นการสิ้นสุดการทำหน้าที่ทางชีวภาพ
อันคงไว้ซึ่งสิ่งมีชีวิต ปรากฏการณ์สามัญ
ที่นำมาซึ่งความตาย มีอยู่มากมาย โรคชรา 
การถูกล่าทุพโภชนาการ โรคภัย 
อัตวินิบาตกรรม(การฆ่าตัวตาย) ฆาตกรรม 
ความอดอยาก การขาดน้ำ และอุบัติเหตุ
หรือการบาดเจ็บภายในร่างกายร่างกาย
ความตายถือว่าเป็นโอกาสที่เศร้าหรือ
ไม่น่ายินดีโอกาสหนึ่ง
คนเราเมื่อตายไปแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่มีใครรู้ได้ แต่ถ้าเรายังไม่ตาย และ ได้เห็นคนที่รักหรือใกล้ชิดจากไป สิ่งที่จะได้เรียนรู้ในเวลานั้นคือ ความจริงของชีวิตที่จะต้องเกิดขึ้นกับทุกคนไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว
ความเจ็บป่วยก็เป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องเจอ
จะเจ็บน้อย เจ็บมาก นาน ๆ ป่วยที่ หรือป่วยบ่อย
จนแทบจะเป็นกิจวัตรก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะ
เป็นแบบไหน และจะพบเจอเมื่อไหร่
ด้วยความที่ไม่รู้ว่าโรคภัยไข้เจ็บ หรือความตาย
มันจะมาเยือนเราเมื่อไหร่ หรือมาเยือนคนที่เรารัก
คนที่เรารู้จักตอนไหน
เมื่อมีโอกาส มีเวลาก็อย่าลืมดูแล เอาใจใส่
ทั้งคนที่เรารัก คนที่สำคัญกับเรา และที่ขาด
ไม่ได้เลย คือ ตัวของเราเอง
ดูแลให้ดี ใส่ใจให้มาก รักให้เป็น
เห็นคุณค่าในทุกช่วงของเวลา
อย่ารอ รอให้ถึงตอนนั้น ตอนนี้แล้วค่อยทำ
เพราะถึงตอนนั้นจริง ๆ อาจจะไม่มีโอกาสได้ทำ
จะรอให้ป่วยก่อนแล้วค่อยดูแล
รอให้แก่ชราก่อนค่อยห่วงใยใส่ใจ
หรือรอให้ความตายมาเยือน
แล้วค่อยมองเห็นกันอย่างนั้นหรือ
Cr. Pixabay
เวลาคือสิ่งมีค่าที่ไม่มีวันหวนคืน
ผ่านไปเพียงเสี้ยวนาทีก็นับเป็นอดีต
อดีตที่บางทีเราอยากจะกลับไปแก้ไขมัน
ในเวลาที่ทำอะไรผิดพลาด
แต่ก็ทำได้แค่คิดเท่านั้นแหละ
เพราะฉะนั้น เมื่อยามที่มีเวลา มีโอกาส
ก็ทำทุกอย่างให้เต็มที่ แล้วเราจะไม่รู้สึก
เสียใจหรือเสียดายกับสิ่งที่ได้ทำลงไป
จะได้ไม่ต้องพูดว่า รู้งี้น่าจะทำแบบนั้น
ทำแบบนี้ (อย่าพูดบ่อยนักเลย
รู้อะไรไม่เท่ารู้งี้น่ะ. มันไม่ดีนักหรอก)
จบ.....
talk
จบไปแล้วนะคะสำหรับความทรงจำของแอด
ที่ใช้เวลายาวนานเกือบเดือนเลยกว่าจะจบได้ และมันอาจจะไม่ได้จบสวยเท่าไหร่ หาทางลง
ได้เท่านี้จริงๆค่ะ ช่วงนี้แอดไม่ค่อยได้เข้ามา
อ่านบทความของนักเขียนท่านอื่นเท่าไหร่
อย่างบทความเปิดปฐมบทของพี่แมนยังได
้อ่านแค่ผ่านๆ และไม่ได้คอมเมนต์ด้วย
ช่วงนี้แอดหายหน้าหายตาก็ขออภัยด้วยนะคะ
อย่าเพิ่งลืมกันน๊า
ขอบคุณทุกการติดตามและกำลังใจนะคะ
สำหรับวันนี้ฝันดีราตรีสวัสดิ์ค่ะ
(ช่วงนี้ต้องนอนเร็วหน่อยโดนคุณหมอเตือนมา
ให้นอนมากกว่า6ชม.หน่อยนะ ไม่งั้นหน้าพังแน่😁😁😁)
~มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจยาก~
โฆษณา