29 พ.ย. 2019 เวลา 04:30 • ประวัติศาสตร์
พุทธประวัติ ตอนที่ 33
ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
เมื่อพระบรมโพธิสัตว์เจ้าได้ทรง
กำจัดหมู่มารไพรีจนพ่ายแพ้หลบหนี
ไปหมดสิ้นแล้ว เหล่าเทพยดาทั้งหลาย
ที่หลบหนีหมู่มารไปซ่อนในที่ต่างๆ นั้น
ก็กลับมารวมกันสรรเสริญแวดล้อม
พระบรมโพธิสัตว์เจ้าดังเดิม
จนแน่นขนัดตั้งแต่พื้นปฐพี
จนถึงอกนิฏฐพรหมโลก(พรหมทั้ง 16 ชั้น)
เหล่าเมฆหมอกบนท้องนภา
ต่างก็คล้อยเคลื่อนจางหายไป
เหลือแต่เพียงดวงจันทร์ที่ลอยเด่นเป็นสง่า ทอแสงสีทองนวลในยามราตรีนั้น...
ครั้นเมื่อเวลา...
ล่วงเข้าสู่ปฐมยามแห่งราตรี
(ปฐมยาม หรือ ยามแรก
ได้แก่ช่วงเวลา 18.00-22.00 น.
***อ้างอิงตามยามในคติของบาลีครับ***)
พระบรมโพธิสัตว์เจ้า ทรงเจริญสมาธิภาวนา ตั้งพระทัยมั่นยังสมาบัติ 8 ประการ (คือการประชุม ศีล สมาธิ ปัญญา) ให้บังเกิดขึ้นแล้ว...
ในตอนนั้นเองพระองค์ได้ทรงบรรลุญาณอันเป็นปัญญาที่หนึ่งขึ้นมา ดังนี้
***พระองค์ทรงทำ
(ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ)
ให้เกิดขึ้นคือ...
1
ความรู้ในการระลึกชาติหนหลังของพระองค์เองได้ ด้วยกำลังอภิญญาโดยปฏิโลม คือพระองค์ทรงสามารถระลึกชาติถอยกลังไปตั้งแต่ โพธิบัลลังก์ที่พระองค์ทรงประทับนั่งอยู่นั้นย้อนหลัง กลับไปโดยลำดับ
ตั้งแต่ทำตอนทำศึกกับพญามาร>
ทรงลอยถาดทอง> เสวยข้าวมธุปายาส> บรรทมมหาสุบินนิมิต> ทรงกระทำทุกรกิริยา เป็นต้น
ระลึกย้อนถอยไปตามลำดับ
จนถึง 1 ชาติ 2 ชาติ 3 ชาติ...  
10 ชาติ 20 ชาติ...
100 ชาติ 1000 ชาติ หมื่น แสน ล้าน
จนกระทั่งหาประมาณมิได้ ที่พระองค์
ได้เคยเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
อีกทั้งพระองค์ยังทรงทราบในทุกรายละเอียดของแต่ละชาติอีกว่า
พระองค์มีนามว่าอย่างไร มีรูปพรรณสัณฐาน โคตรตระกูลเป็นอย่างไร มีฐานะความเป็นอยู่สุขหรือทุกข์ มากน้อยแค่ไหน มีบิดามารดา ภรรยาและบุตรเป็นใคร และเมื่อจุติ(ตาย)จากชาตินั้นๆ แล้วไปเกิดเป็นอะไรต่อที่ไหน พระองค์ทรงรำลึกชาติได้ทั้งหมดโดยลำดับจวบจนตราบถึงปัจฉิมชาติ (ชาติสุดท้าย) นี้...
และเมื่อเวลา...
ล่วงเข้าสู่มัชฌิมยาม
(ยามกลาง ได้แก่ช่วงเวลา 22.00-02.00น.)
พระองค์จึงทรงบรรลุญาณอันเป็น
ปัญญาที่สองขึ้นมา ดังนี้
***พระองค์ทรงทำ
(จุตูปปาตญาณ) ให้เกิดขึ้นคือ...
เป็นญาณที่ทำให้รู้การจุติ(ตาย) และเกิดของสัตว์โลกทั้งหลาย เรียกอีกอย่างว่า (ทิพพจักขุญาณ = ตาทิพย์) บัดนี้พระองค์ทรงมีทิพยจักษุโดยบริบูรณ์เป็นอนันต์
พระองค์สามารถหยั่งเห็นการเวียนว่ายตายเกิดของเหล่าสรรพสัตว์ทั้งปวง
ทั้งสัตว์ชั้นต่ำ ชั้นกลาง ชั้นสูง ทั้งในทุคติ และสุคติ ตามสมควรแก่กุศล และอกุศลที่สัตว์เหล่านั้นได้ทำไว้
***พระองค์เปรียบเสมือน คนที่อยู่บนที่สูงใกล้ทาง 4 แพร่ง ที่สามารถมองเห็นเหล่าหมู่ชนที่กำลังสัญจรไปมาจากที่ต่างๆ ได้ทั้งหมด***
และครั้นเวลาได้ล่วงเข้าสู่ปัจฉิมยามสมัยใกล้รุ่ง (ช่วงเวลา 02.00-6.00 น)
พระองค์ทรงหยั่งพระญาณลงพิจารณา
ปัจจยาการใน (ปฏิจจสมุปบาท คือ
ธรรมชาติอันเป็นปัจจัยที่อาศัยซึ่งกันและกันเกิดขึ้น)
คือธรรมเหล่านี้เกี่ยวข้องกันเป็นเหมือนบ่วงโซ่ คล้องติดกันที่ไม่มีจุดจบ กระผมของอธิบายตามภาพด้านล่างครับ
วงจรปฏิจจสมุปบาท
ก็ธรรมชาติเหล่านี้ เป็นปัจจัยอาศัยซึ่งกันและกันเกิดขึ้นตามลำดับ อันเป็นเหตุเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งหมด
คือ นิโรธ ฝ่ายดับ
ถ้า อวิชชา ดับ สังขาร ก็ดับตาม
ถ้า สังขาร ดับ วิญญาณ ก็ดับตาม
เป็นต้น
1
การดับแห่งปัจจัยเหล่านี้
ได้ชื่อว่าเป็นการดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวล
เพราะไม่มีการสืบต่อกันอีกต่อไป
เมื่อพระบรมโพธิสัตว์ ทรงพิจารณา
(ปฎิจจสมุปบาท) ไปตามลำดับเรียกว่า (อนุโลม) อย่างนี้จบแล้ว
จากนั้นพระองค์ก็ทรงพิจารณาย้อนถอยหลังกลับเรียกว่า (ปฎิโลม) ก็เพื่อให้ทราบถึงต้นตอของความจริงว่าสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นจากอะไร...
และในที่สุดแล้ว พระองค์ก็ทรงทราบชัดตามลำดับดังนี้
**ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส**
เกิดมาจากชาติ คือ เมื่อเกิดมาจากครรภ์มารดามีอยู่ตราบใด...
ชรา มรณะ โสกะ ฯลฯ อุปายาส ก็ย่อมมีอยู่ตราบนั้น
**ชาติ**
เกิดมาจากกาม (ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ) เมื่อภพทั้งสามมีอยู่ตราบใด ชาติก็ย่อมมีอยู่ตราบนั้น
**ภพ**
เกิดมาจากอุปทาน คือการยึดมั่นถือมั่นในภพทั้งสาม
อุปปาทานมี 4 ประการ คือ
1.กามุปาทาน การถือมั่นในกิเลสกามและวัตถุกาม
2.ทิฏฐุปาทาน การถือมั่นในทิฏฐิวิปลาส
(ความเข้าใจผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง)
3.สีลัพพัตตุปาทาน การถือมั่นในศีลวัตรแห่งเดียรถีย์นอกพุทธศาสนา
4.อัตตวาทุปาทาน การถือมั่นว่าตนเที่ยงแท้ไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่ออุปทานทั้ง 4 มีอยู่ตราบใด ภพก็ย่อมมีอยู่ตราบนั้น
**อุปาทาน**
เกิดมาจากตัณหา คือความอยากในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสและธรรมารมณ์ (อารมณ์ที่เกิดทางใจ)
เมื่อตัณหายังมีอยู่ตราบใด อุปาทานก็ย่อมมีอยู่ตราบนั้น
**ตัณหา**
เกิดมาจากเวทนา ทั้ง 3 ประการ คือ
1.สุขเวทนา เสวยอารมณ์อันเป็นสุข
2.ทุกขเวทนา เสวยอารมณ์อันเป็นทุกข์
3.อุเปกขาเวทนา เสวยอารมณ์เป็นกลาง คือ ไม่สุขไม่ทุกข์
เมื่อเวทนายังมีอยู่ตราบใด ตัณหาก็ย่อมมีอยู่ตราบนั้น
**เวทนา**
เกิดมาจากผัสสะทั้ง 6 คือ มีรูปมาสัมผัสกับตา คือ มองเห็นสิ่งต่างๆ
แล้วเกิดเวทนา ทำให้เกิดอารมณ์ต่างๆ ชอบ ไม่ชอบ เป็นต้น
**ผัสสะ**
เกิดมาจากสฬายตนะทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เมื่ออายตนะคือ ตา เป็นต้น มีอยู่ตราบใดผัสสะก็ย่อมมีอยู่ตราบนั้น
1
**สฬายตนะ**
เกิดจากนามรูป ได้แก่ มหาภูติรูป 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ กับนามขันธ์ คือสัญญาและสังขาร อันได้แก่เจตสิกธรรมทั้งหลาย
(ปรุงแต่งจิตให้มีความเป็นไปต่างๆ)
เมื่อนามรูปมีอยู่ สฬายตนะก็ย่อมมีตามมาฉันนั้น
1
**นามรูป**
เกิดจากวิญญาณ คือตัวรับรู้อารมณ์ที่มากระทบ มีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ วิญญาณ ปรากฏเป็นเป็นไปตามกุศล และอกุศลในภพ 3 คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ
**วิญญาณ**
เกิดจากสังขารทั้ง 3 อันเป็นเครื่องปรุงแต่งใจให้มีสภาพดี ชั่ว บุญ บาป โลภ โกรธ หลง พยาบาท เมตตา กรุณา เป็นต้น สังขารทั้ง 3 นั้น มีดังนี้
1. ปุญญาภิสังขาร คือ
กามาวจรอันเป็น กุศลวิบากปรุงแต่งให้ไปเกิดใน กามสุคติภพทั้ง 3 กล่าวคือ
- มนุษย์ โลก
- กามาวจรสวรรค์ 6 ชั้น
- รูปาวจร พรหม 16 ชั้น
2. อปุญญาภิสังขาร คือ
อกุศลวิบาก กรรมชั่ว ที่ปรุงแต่งให้ไปเกิดในกามทุคติภพ ทั้ง 4 ได้แก่
- สัตว์เดรัจฉาน
- เปรต
- อสุรกาย
- นรก
1
3. อเนญชาภิสังขาร คือ
อรูปาวจรกุศล วิบากที่ปรุงแต่งให้ไปเกิดในอรูปภพ ทั้ง 4 หรือ อรูปพรหม 4 คือ
1. อากาสานัญจายตนภูมิ
2. วิญญาณณัญจายตนภูมิ
3. อากิญจัญญายตนภูมิ
4. เนวสัญญานาสัญญายตภูมิ
**สังขาร**
เกิดมาจากอวิชชา คือ
โมหะ(ความหลง) ที่ครอบงำสันดาน ปกปิดกำลังปัญญามิให้เห็นแจ้ง ในพระไตรลักษณ์ และอริยสัจธรรม 4 เมื่อ อวิชชายังมีอยู่ตราบใด สังขารก็ย่อมมีอยู่ตราบนั้น เพราะสังขารมี อวิชชาเป็นเหตุให้เกิด...
ด้วยห่วงโซ่ทั้งหลายเหล่านี้เอง...
พระมหาบรมโพธิสัตว์เจ้า ได้ทรงพิจารณาทั้ง ไปและกลับตามลำดับด้วยประการดังนี้
ในขณะนั้น...
ก็เป็นเวลาแสงทองแห่งอรุณรุ่งได้ทอแสงรำไรสว่างขึ้นจับขอบฟ้า
พระบรมโพธิสัตว์เจ้าก็ทรงบรรลุ
อาสวักขยญาณ (ญาณหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย)
บัดนี้...
พระองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูเจ้า ดับสูญสิ้นอาสวกิเลสเป็นสมุทเฉทปหาน (การละกิเลสได้โดยเด็ดขาดด้วยอริยมรรคของพระอรหันต์) พร้อมกับเหตุอัศจรรย์ทั้งปวง
ในวันนี้ คือ วันวิสาขปุรณมี ขึ้น 15 ค่ำ ดิถีเพ็ญกลางเดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี
พระพุทธองค์ ได้ทรงเปล่งพระพุทธสีหนาทเป็นปฐมอุทาน อันเป็นการเยาะเย้ยต้นตอของกิเลสตัณหาด้วยว่า...
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสพระวาจาขึ้นว่า :
***ตถาคตท่องเที่ยวไปในสงสารหาประมาณมิได้ เราได้เที่ยวสืบเสาะแสวงหานายช่างผู้ทำเรือน กล่าวคือ
ผู้สร้างนามรูป ทนทุกข์ทรมานจนแล้วจนเล่า นี่แน่ะตัณหาผู้สร้างเรือนให้ตถาคต
บัดนี้...
เราได้พบท่านแล้ว เห็นตัวท่านแล้ว ต่อแต่นี้ไป ท่านมิสามารถจักทำเรือนให้เราได้อีกแล้ว ทั่งกลอนเรือน และช่อฟ้าเราได้หักทำลายจนหมดสิ้นแล้ว
จิตของเรา พ้นจากสังขารทั้ง 3 ที่ปรุงแต่งให้เกิดในภพใหม่ สันดานของตถาคตสูญสิ้นจากตัณหา โดยมิเหลือเศษแล้ว ดังนี้***
เมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้เปล่งพระพุทธสีหนาทประภาษทักตัณหาแล้ว ก็ทรงพระดำริว่า...
***ตถาคต ได้บริจาคบุตรและภรรยาให้เป็นทาน ทั้งทรัพย์สินเงินทองสิ่งของตลอดจนเลือดเนื้อ และชีวิตสิ้นกาลนานถึง 4 อสงไขยแสนกัป ก็เพราะประสงคํพระโพธิญาณนี้
บัดนี้ ตถาคตได้กำจัดกิเลสทั้งปวงให้สูญสิ้นจากกมลสันดานและได้บรรลุพระโพธิญาณโลกุตรธรรมสำเร็จดังมโนรถสมประสงค์แล้ว***
เมื่อสิ้นคำตรัสของพระพุทธองค์...
ขณะนั้นเอง...
ก็เกิดเหตุมหัศจรรย์ต่างๆ มีมหาปฐพีเป็นต้นก็เกิดการหวั่นไหว สั่นสะเทือนทั่วพิภพ มหาสาครก็ตีฟองคะนองคลื่นส่งสำเนียงเสียงครึกโครมกึกก้อง สัตว์ต่างๆ ในไพรสณฑ์ ก็พากันส่งเสียงร้องร่าเริง แม้แต่สัตว์ที่เคยเป็นศัตรูกันก็กลับกลายเป็นมิตรมีเมตตาต่อกัน ฝูงนกนานาชนิดต่างก็บินร่องทั่วท้องนภาสุดที่จะพรรณนา
บรรดาพฤกษชาติในราวป่าพนาสณฑ์ ตลอดจนทิพยพฤกษาลดาในเทวอุทยาน ก็บันดาลผลิดอกออกผลเกลื่อนกล่นทั่วทุกกิ่งก้าน ล้วนแต่เป็นเหตุมหัศจรรย์ครั้งยิ่งใหญ่ เป็นการฉลองชัยแห่งการตรัสรู้พระพุทธรัตนาวรญาณด้วยประการดังนี้แล...
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
หากมีข้อผิดพลาดประการใด ก็ขออภัย ท่านผู้อ่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
หากท่านผู้ใดชอบ ก็ขอฝากติดตามอ่านตอนต่อไปด้วยนะขอรับ ^-^
ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านผู้อ่านขอธรรมของพระพุทธองค์จงมีแด่ ท่าน สาธุครับ (ต้นธรรม)
เอกสารอ้างอิง
#หนังสือ.ปฐมสมโพธิกถา
#หนังสือพุทธประวัติตามแนวปฐมสมโพธิ (พระครูกัลยาณสิทธิวัฒน์)
#หนังสือพาหุงชัยชนะแห่งพุทธะ ตอน พญามาร
#เพิ่มเติมเนื้อหาใหม่/ภาพประกอบ.ต้นธรรม
#Facebook Page🔜 :
โฆษณา