29 พ.ย. 2019 เวลา 15:11 • ประวัติศาสตร์
แม้จะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยก็ตาม
ยังมีคนพูดถึง Schindler's List
ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกของ Steven Spielberg ผู้กำกับชื่อดังมากด้วยฝีมือ
ซึ่งเขียนนอกกรอบ
เคยมีโอกาสได้ดูเมื่อนานมาแล้วเป็นเวลา
3 ชั่วโมง 25 นาทีที่คุ้มค่าสุดๆ
Schindler's List (1993)
ช่างยอดเยี่ยม หดหู่ และตราตรึงใจ
และต้องจดจำในส่วนลึก จนถึงทุกวันนี้
เป็นภาพยนต์ที่เกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เรื่องเดียวที่ผมเองสามารถดูจนจบและดูกี่ครั้งก็ยังมีความรู้สึกหลายๆอย่างที่มาพร้อมๆกัน
วันนี้ เขียนนอกกรอบ
จึงอยากจะมาแชร์เรื่องราวในมุมของ
ของผู้กำกับว่า..กว่าจะมาเป็น Schindler's List
ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากมายนั้น
สตีเวน สปีลเบิร์ก ได้ผ่านอะไรมาบ้าง
ตามเขียนนอกกรอบ มาเลยครับ
cr. pantip.com
มันมีความเจ็บปวดทรมาน อบอวลอยู่ทุกที่
ไม่มีใครสามารถซ่อนมันไว้ได้
-สตีเวน สปีลเบิร์ก-
ในวันที่สตีเวน สปีลเบิร์ก ผู้กำกับที่มากด้วยฝีมือเสร็จสิ้นการถ่ายทำ Jurassic Park
ที่เต็มไปด้วยจินตนาการสนุกสนานสุดขั้ว
กับเรื่องราวมีความสุขที่แสนอบอุ่นหัวใจนั้น
เขาต้องมากำกับภาพยนตร์ที่อยู่คนละขั้วของความรู้สึกสุดๆ
ภาพยนต์เรื่องนี้มีชื่อว่า Schindler's list
( ชะตากรรมที่โลกไม่ลืม )
ว่าด้วยเรื่องของนักธุรกิจหนุ่มคนหนึ่งที่ช่วยเหลือชาวยิวมากมาย ให้รอดพ้นจากการสังหารโหดที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
และเพื่อทำให้เรื่องออกมาสมจริงที่สุด
สปีลเบิร์ก ทำการบินไปยังโปแลนด์ซึ่งก็คือสถานที่จริงเพื่อถ่ายรูปด้วยตัวเอง อีกทั้งยังสัมภาษณ์กับผู้รอดชีวิตอย่างละเอียด
cr.film history 101
ทำให้ทุกซีนในเรื่องถูกถ่ายทอดออกมาอย่างสมจริง สมจริงขนาดที่ว่า นักแสดงหญิงสองคนที่แสดงเป็นหญิงสาวชาวยิวที่ถูกรมก๊าซพิษ
ถึงกับแสดงต่อไม่ได้ไปอีกสามวันจากแรงกระทบกระเทือนทางจิตใจ
ไม่ใช่แค่เพียงแค่นั้น
การถ่ายไป ถ่ายมาหลายๆคน
เริ่มที่จะรับมวลอารมณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นไม่ได้
เพราะตลอดการถ่ายทำ มันเหมือนกับว่าเหตุการณ์สังหารหมู่แสนโหดเหี้ยมนั้น
มันเกิดขึ้นต่อหน้าพวกเขาอย่างสมจริงซ้ำไปมา
ครั้งแล้วครั้งเล่า
แน่นอนว่า..
ผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงคนหนึ่งก็คือ
สปีลเบิร์ก ที่ฝังตัวเองลงในเรื่องราวเพื่อเล่าเรื่อง เขาเริ่มมีอาการคล้ายโรคซึมเศร้า
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ สปีลเบิร์ก รู้สึกหดหู่จับใจ
น่าจะมาจากการที่ สปีลเบิร์กเอง เป็น
ชาวอเมริกันเชื้อสายยิว
นอกจากการกำกับภาพยนต์ สุดยอดเยี่ยม
เรื่องนี้แล้ว สปีลเบิร์ก กำลังลงลึกไปถึงเลือดเนื้อหัวใจของเผ่าพันธุ์ตนเอง
เขารู้สึกหดหู่และโดดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงกับเคยคิดเลยว่าหลังจากที่หนังเรื่องนี้
#เสร็จสิ้นเขาจะเลิกเป็นผู้กำกับไปตลอดชีวิต !
แต่สิ่งหนึ่งที่คอยรั้งเขาไว้ และช่วยเยียวยาเขาอย่างมากในช่วงเวลานั้นคือ โทรศัพท์สายหนึ่งจากเพื่อนของเขา " โรบิน วิลเลียมส์ "
วิลเลียมส์ รู้ว่าเพื่อนของเขานั้น กำลังเผชิญกับความทรมานมากแค่ไหน เขาจะโทรมาตาม
ตารางเวลาเป๊ะๆไม่คาดเคลื่อน อาทิตย์ละครั้ง
และพูดคุยกับสปีลเบิร์ก เป็นเวลา 15 นาที ซึ่งทุกครั้งที่ได้คุยกันนั้น
มันก็เหมือนได้ฟัง Stand-up Comedy ทำเอาสปีลเบิร์กหัวเราะจนน้ำตาเล็ด ลืมความเจ็บปวดไปชั่วขณะ
และทุกครั้งที่จะต้องวางสาย
วิลเลียมส์ ไม่เคยพูดคำว่า ลาก่อน
แต่เขาส่งเสียงหัวเราะดังสนั่นออกมาแทน ราวกับบอกเพื่อนรักของเขาว่า....
ฉันจะไม่ไปไหน ฉันจะอยู่เคียงข้างนายเสมอ
สุดท้ายหลังจากช่วงเวลาที่แสนทรมาน Schindler's list ก็เสร็จสมบูรณ์
มันทำเงินไปมากกว่า 300 ล้านดอลล่าพร้อมทั้งชนะรางวัลออสก้าร์ไปถึง 7 สาขา
กลายเป็นความสำเร็จที่ทรงคุณค่าที่ สปีลเบิร์กบอกว่าไม่เคยสัมผัสจากหนังเรื่องไหนอีกเลย
cr.viewfinder fanpage
และสปีลเบิร์ก ก็มักจะขอบคุณ
โรบิน วิลเลี่ยมส์ เพื่อนของเขาในหลายครั้งที่ถูกสัมภาษณ์อยู่ตลอด
ขอบคุณที่เขาคอยยืนเคียงข้างกันในเวลาที่น้ำตาเอ่อล้นจนแทบเดินต่อไม่ไหว
บางครั้งในเวลาที่มืดมน สิ่งที่เราต้องการนั้นอาจจะเป็นแค่ใครคนหนึ่งที่คอยเคียงข้างเรา
คำหนึ่งคำ ที่มาฉุดรั้งใจเราให้กลับมา
เพื่อให้เราสามารถลุกขึ้นได้อีกครั้ง
และสำหรับคนๆนั้นในวันนี้ ขอบคุณ
ที่วันนั้นอยู่ตรงนั้นและคอยพยุงให้ก้าวเดินไปในวันที่ขาไร้เรี่ยวแรง มันมีความหมายมากมายจริงๆ
หากหาใครคนนั้นเจอแล้ว นับว่าเป็นโชคดียิ่งนัก เราไม่จำเป็นต้องอิจฉา สปีลเบิร์ก ที่มีเพื่อนดีๆอย่างโรบิน วิลเลียมส์
แต่จงพยาม เป็น วิลเลียมส์
เพื่อเป็นแสงสว่างของใครบางคน
หากมีประโยชน์ฝากกดไลค์ กดแชร์
คอมเม้นท์ทักทายกันได้นะครับ🍀
#เขียนนอกกรอบ
ขอขอบคุณครับ🙏
โฆษณา