2 ธ.ค. 2019 เวลา 16:29 • ปรัชญา
"พระพุทธเจ้าคือ Startup Founder
ที่เก่งที่สุด ตอนที่ 2
ต่อจากตอนที่แล้ว ที่มีการกล่าวถึง
ฉกามาพจร อ่านว่า ฉะ-กา-มา-พะ-จอน
หมายถึง สวรรค์ทั้ง 6 ชั้น
เป็นการกล่าวถึงเพื่อเรียนรู้เบื้องต้น
เพราะแต่ละบทละตอนที่เขียนนอกกรอบได้
กล่าวถึงนั้น ล้วนแล้วแต่มีความหมายสำคัญในบทสุดท้ายทั้งสิ้น วันนี้ก็เช่นกันครับ
เราลองมาไล่เรียงไปพร้อมๆกันเลย
ตามเขียนนอกกรอบ มาเลยครับ
อย่างที่เคยกล่าวไว้
ส่วนตัวของ เขียนนอกกรอบนั้น
เป็นคนศรัทธาและเชื่อ
เรื่องพระพุทธศาสนาของเรา
ในแบบ Realistic ( เหมือนจริง )
ศรัทธาและชอบขนาดที่ว่าสามารถทำให้
ตนเองนั้นต้องศึกษาปริญญาที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศานาอีกใบ โดยไม่จำเป็นต้องตั้งคำถามว่า เราจะเอาตรงนี้ไปใช้ประโยชน์อะไร
แต่ส่วนตัวมองว่า ในยุคปัจจุบันนี้ ธรรมะ
เป็นสิ่งที่ค่อนข้างเข้าถึงยาก
จริงๆเรื่องราวทางพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงโลกภายนอกทุกอย่างเลยครับ มันไปด้วยกันได้เป็นอย่างดี
ยิ่งถ้าตัดเรื่อง อภินิหารสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ออกจนหมด ลองมองในมุม Startup Founder
จะค่อยๆเห็นทุกอย่าง ชัดเจนเป็นข้อๆ
ว่าพระพุทธเจ้าของเรา
ท่านเก่งสุดๆไปเลยครับ มองทุกอย่างให้เป็นปรกติ จากสายตามนุษย์คนนึง
ชื่นชมเรียนรู้ ชีวิตมนุษย์คนนึงเท่านั้น
ให้ชื่นชมท่านในฐานะที่ท่านคือ 'มนุษย์'
ไม่ใช่ผู้วิเศษมีฤทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น
ย้อนกลับไปตอนที่พระองค์ทรง
รู้สึกเบื่อหน่ายและพิจารณาเห็นความทุกข์อันเกิดจากการเวียนว่ายตายเกิดในชาติภพต่างๆ อย่างที่สิ้นสุดมิได้
กล่าวกันให้เข้าใจง่าย เหตุนี้เกิดขึ้นเพราะ
พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็น....
คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ตามลำดับ
หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ เทวทูต ทั้ง4
นั่นแหละครับ
cr.dmc
เส้นทางออกบำเพ็ญเพียรของพระองค์
ที่ถูกหยิบยกมาเทียบเคียง
เส้นทางของ Startup
กำลังเริ่มขึ้น โดยการที่พระองค์มีใจตั้งมั่น
แน่วแน่ที่จะหลุดพ้นจากจากการ เวียนว่าย
ตายเกิด นั้น
ก็มาขนานกับหัวใจ มนุษย์คนนึงที่มีความฝัน
อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ อยากก้าวเดินในเส้นทาง startup แต่ก่อนจะออกเดินทางนั้น
เราก็จำเป็นอย่างมาก ที่ต้องมีการวางแผน
รู้จักการตั้งเป้าหมาย และสุดท้าย
ต้อง focus มันให้มากพอ
สิ่งที่คนเริ่มทำ Startup
ต้องพบเจอแน่นอนในเส้นทางนี้
นั่นคือ การพยามแก้ปัญหาอะไรสักอย่าง
อาจจะหลายอย่าง หรือ ร้อยๆอย่าง คือมันโคลนนิ่งกันมาแบบไม่มีลิมิตชีวิตเกินร้อยแน่นอน คุ้นๆมั้ยครับ
ท่านเองก็เช่นเดียวกัน พยายามหาทางสร้าง Solution ( ดับทุกข์ )
ซึ่งในวันนั้น มันเป็นปัญหาที่ทุกคนต้องเจอ
และยังไม่มีใครแก้ได้ และคิดว่าคงไม่มีใคร
คิดที่จะแก้ไข หรือ อาจคิดไม่ถึงเลยทีเดียว
ลองไล่เรียงประวัติท่านยิ่งน่าชื่นชม
พูดง่ายๆให้เข้าใจ พระองค์ไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้วุ่นวายเลยด้วยช้ำ จริงๆ ที่บ้านท่านนี่รวยมากนะครับ
แต่ท่านเลือกไม่สานต่อ family business เลือกออกมา Bootstrap ด้วยตัวเอง ลำบากเลยทีนี้
ต้องเดินทางไปร่ำเรียนฝึกปรือกับอาจารย์หลายสำนักสอนไปสอนมา ท่านพัฒนาเร็วมากจนอาจารย์ไม่มีอะไรจะสอนแล้ว
แต่ถ้าเป็นยุคนี้คือเหมือนเลือกไปสมัครงานบริษัทอื่นๆ ก่อนเปิดบริษัทตนเองประมาณว่าเอาประสบการณ์มาก่อนล่ะกัน
หลังจากไม่มีอาจารย์สอนแล้ว เพราะพัฒนาตัวเองได้เร็ว จนอาจารย์หมดวิชาจะมอบให้
วันหนึ่งพระองค์ก็เจอ Solution ที่คิดว่าเอ่อ
อันนี้แหละมันใช่เลย '' บำเพ็ญทุกรกิริยา ''
เราสามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ได้
เพียงแค่เราทุกข์ให้สุด !!
cr.วัดเจ้าพระยาราม
ทรมานร่างกายจนซูบผอม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เรียกได้ว่า อดอาหารทรมาน
กันข้ามวันข้ามคืน ไม่กินข้าวอยู่นาน
ซึ่งก็หมายความตามนั้นจริงๆ
ทุกอย่างเริ่มดูเข้าที่ เข้าทาง
แต่ร่างกายซูบผอมเหลือเกิน
ก็เหมือนกับเรา ธุรกิจเหมือนกำลังรุ่งๆ
อดหลับอดนอน สภาพดูแทบไม่ได้
การอดทนของท่านในวันนั้น
แสดงให้เห็นถึงความอดทนที่สุดในสามโลก
เป็นที่เลื่องลือ เริ่มมีชื่อระดับหนึ่ง
ถึงกับมี 5 Beta Tester ฝือมือดีมาช่วย
มีชื่อว่า โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และ อัสสชิ
แต่เส้นทาง Startup ของเราก็อย่างนี้แหละ
มันจะมีช่วงที่ เราเหนื่อยเราหลุดโฟกัส
นานเข้าผลลัพธ์ยังไม่ดีพอ เราก็จะเริ่มค้นหาวิธีการใหม่ (และพวกเราเป็นเช่นนั้นจริงๆ)
cr.tnews
พระองค์เองก็เช่นกัน
พออดอาหารและ ผลลัพธ์ยังไม่ดีพอ
ก็ได้เสวยข้าวมธุปายาส
ของนาง สุชาดา
เท่านั้นแหละเหมือนที่ Dev มานี่หายไปสิ้น
พระองค์ค้นพบ Solution อันยิ่งใหญ่
นั่นคือ 'ทางสายกลาง'
ทุกอย่างต้องไม่ตึงไม่หย่อนมากไป
ทีนี้ใช้ไม่ได้แล้ว Beta tester ที่คอยมาช่วย
หนีหายหมด นโยบายเริ่มไม่ตรงกัน
ชีวิตเราก็เป็นแบบนี้ มีล้มลุกคลุกคลานกันบ้าง
ส่วนท่านก็เหมือนคิดอะไรบางอย่างได้ Pivot
model ที่คิดมาตอนแรก
ว่าแล้วพระองค์ก็มาปรับความคิดใหม่
และทรงพบกับพราหมณ์ชื่อว่า โสตถิยะ พราหมณ์คนนี้เพิ่งกลับจากการเกี่ยวหญ้ามาพอดี
พอพบพระโพธิสัตว์ ก็เกิดความประทับใจในบุคลิกภาพ จึงน้อมถวายหญ้ากุสะ “8 กำ”
(หญ้ากุสะ ไม่ใช่หญ้าคา)
cr.mahabunhome.com
เมื่อพระองค์ ทรงรับแล้วทรงนำหญ้ากุสะนั้นมาปูเป็นอาสนะรองนั่งที่โคนต้นอัสสัตถะ
หรือที่เรารู้จักคือ ( ต้นโพธิ์ )
เมื่อประทับแล้วจึงทรงตั้งสัตยาธิษฐานว่า หากไม่ได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ต่อให้เลือดและเนื้อเหือดแห้งไป เหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตามที ก็จะไม่ยอมลุกจากบัลลังก์นี้เป็นอันขาด
( การตั้งเป้าหมายในยุคปัจจุบัน )
คิดหา Solution แบบ Hackathon
ทำอยู่อย่างนั้น 7 วัน 7 คืนใต้ต้นโพธิ์
จนสุดท้าย
ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ คือ ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ หรือกิเลส
ด้วยอริยสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค และได้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และเป็นศาสดาเอกของโลก ซึ่งวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรงกับวันเพ็ญ เดือน 6 ขณะที่มีพระชนมายุ 35 พรรษา
cr.pixabay.com
และหลังจากนี้ต่อไปเป็นสิ่งที่เราต้องคิดตาม
และน่าปรับเอามาประยุกต์ใช้ คือ...
หลักจากที่พระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว
ทรงเผยแผ่พระธรรมคำสอนอย่างไร
( ตัดเรื่องอภินิหารออกไป )
ถ้าต้องใช้ศัพท์ในยุคปัจจุบัน
ก็ต้องตั้งคำถามว่า..
พระองค์ทรงขยาย user ได้ระดับพันล้านuser
เมื่อ 2,500 ปีล่วงมาแล้ว
โดยที่ตอนนั้นยังไม่มี Internet !
ได้อย่างไร ?
โปรดติดตามตอนต่อไป
หากมีอะไรผิดพลาด เขียนนอกกรอบ
กราบขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ 🙏🍀
เขียนนอกกรอบเรียบเรียง
photo cr. & source:
pippo pramewith sreechatthiwong
หากมีประโยชน์ฝากกดไลค์ กดแชร์
คอมเม้นท์ทักทายกันได้นะครับ
#เขียนนอก กรอบ☘
ขอขอบพระคุณครับ🙏
โฆษณา