3 ธ.ค. 2019 เวลา 04:41 • ไลฟ์สไตล์
สรุปหนังสือ Simplify ของ Joshua Becker
หนังสือบอกถึงหลักการที่จะทำให้คุณได้สิ่งต่างๆเหล่านี้
⭐บ้านสวยขึ้น /เงินเก็บมากขึ้น/ บ้านมีที่ว่างใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น/จิตใจโล่งสบาย/ช่วยฝึกการปล่อยวาง/ฝึกการจัดลำดับความสำคัญ
⭐เป็นหนังสือที่กล่าวถึง "หลักการ Rational Minimalism" คือ มินิมอลลิสที่มีเหตุผล ไม่สุดโต่ง เป็นมินิมอลที่ทุกคนทำได้จริง ทำได้ทันที
ปกหนังสือ Simplify ขอบคุณภาพจาก Amazon.com
⭐ประโยชน์ของการที่คุณมีชีวิตแบบ minimalist
อย่างแรกเลยบ้านคุณจะสะอาด สวยงาม แล้วผลต่อๆไปก็คือ จิตและกายคุณจะเบาสบาย ขึ้นเรื่อยๆ ใช้จ่ายเงินอย่างคุ้มค่ามากขึ้น ทำให้มั่งคั่งขึ้น
⭐ความสุขไม่ได้มาจากการครอบครองสิ่งของปริมาณมากๆ แต่มาจากการใช้ชีวิตที่สมดุล อิสระ เบาสบาย
อยู่กับสิ่งที่ใช่จริงๆ คุณภาพสูง และจำเป็นสำหรับชีวิตจริงๆ สิ่งที่ทำให้เรามีความสุขจริงๆ เราจะมีทรัพยากรเหลือไปทำสิ่งอื่นที่ใช่มากขึ้น
⭐การมีมาก การบริโภคมากๆ (consumerism)แล้วมีความสุขจริงหรือ????
ดูประเทศที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจดีๆแบบ ญี่ปุ่น เกาหลี อเมริกา (ตัวเลขทางเศรษฐกิจดีแสดงว่าประชากรมีความสามารถในการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคได้มาก) มีตัวเลขผู้ป่วยซึมเศร้าและฆ่าตัวตายสูงมาก
⭐การเป็น minimalist ไม่ได้หมายความว่าเราต้องยากจน ทำตัวยากจนหรือไม่ซื้ออะไรเลย
ตรงกันข้ามเราอาจจะรวยขึ้นด้วยจากการที่เราใช้จ่ายอย่างฉลาดขึ้น มีเงินเก็บมากขึ้น
⭐บ้านราคาแพงที่เราซื้อมาหรือเช่ามา จะมีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น มันจะสวยงามอย่างที่มันควรจะสวยจริงๆ
⭐นอกจากนี้เมื่อเป็น Rational Minimalist (มิลิมอลลิสที่มีเหตุผล) เราจะรายล้อมไปด้วยข้าวของที่เราชอบจริงๆ น้อยชิ้น แต่ใช้คุ้ม อยู่ด้วยแล้วมีความสุข
⭐การทำงานหาเงิน ของชาว minimalist ไม่ได้ทำงานเพื่อมาจับจ่าย และมีของใช้มาเก็บสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ
ต้องเอาของ เอาสินค้ามาบำบัดความเครียดของจิตใจ
⭐แต่เป็นการทำงานเพราะแสดงให้เห็นว่าเราให้คุณค่าอะไรแก่โลกได้บ้าง
ทำงานที่เรารัก จ่ายเราอย่างยุติธรรม
⭐นอกจากนี้การเป็น minimalist ยังฝึกให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น จิตใจมีสติ สมาธิมากขึ้น ประเมินคุณค่าที่แท้จริงของสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น
⭐หลักการนี้ยังช่วยให้ office หรือโต๊ะทำงาน ห้องทำงานของเรา สวยและทันสมัย น่าทำงานมากทีเดียว
⭐นอกจากนี้การเป็น minimalist ทำให้เราใช้จ่ายน้อยลงแต่คุ้มค่ามากขึ้น มีบ้านที่สวยงาม โปร่งสบายมากขึ้น ทำให้จิตใจเบาสบายขึ้น
อาจจะทำให้ เกิดปัญญาค้นพบว่าจริงๆ แล้วงานอะไรที่คุณอยากจะทำจริงๆ ซึ่งอาจจะมีรายได้ลดลงในระยะแรก แต่คุณก็กล้าเปลี่ยนงาน เพราะตอนนี้คุณไม่ต้องผูกมัดกับการหาเงินจากงานที่ไม่ชอบ เพื่อมาจับจ่ายสินค้าที่คุณใช้แค่นิดๆหน่อยๆ ก็วางกองอยู่กับพื้นแล้ว
⭐การเป็น Minimalist มีสองระดับ คือ Extreme Minimalist และ Rational Minimalist
ภาพความแตกต่างระหว่าง Rational minimalist vs Extreme minimalist
Rational vs Extreme Minimalist
Rational vs Extreme Minimalist
⭐ไม่มีแบบไหนผิดหรือถูก
ขึ้นกับไลฟ์สไตล์ของคุณ บางคนตัดใจจากสิ่งของได้หมด หัวใจระดับนักบวช คนในครอบครัวทุกคนเป็น minimalist หมดทุกคน ก็เป็น Extreme ได้
แต่ถ้า คุณเป็นคนต้องมีสังคม มีเพื่อนมาบ้านบ่อยๆ คู่รักหรือลูก ไม่ได้เป็นมินิมอลลิสด้วย หรือไลฟ์สไตล์บางอย่างของคุณต้องมี "ของ"อยู่ หรือคุณกำลังฝึกการเป็น มินิมอลลิส แบบนี้คุณสามารถเป็น Rational Minimalist ซึ่งก็ได้ประโยชน์มากเช่นกัน
⭐การเป็น Rational minimalist เบื้องต้น ประกอบด้วย
🗑️การ Remove
🎀การ Promote
🗑️ การ Remove คือการ ขาย/บริจาค/Recycle,ทิ้ง
⭐ขายเป็นของมือสองไปซะ
⭐บริจาคให้คนหรือองค์กรที่ต้องการ
⭐recycle ไว้ใช้เอง หรือ ให้คนอื่น
⭐ทิ้ง(อย่างถูกวิธี แยกขยะดีๆ จะได้ไม่เป็นภาระแก่โลก)
🎀 การ promote คือการชูให้เด่น เห็นให้บ่อย ใช้ให้คุ้ม
⭐เอาออกมาให้เห็นชัดๆ หยิบจับง่าย
⭐นำมาใช้ให้บ่อยขึ้น
⭐ใช้อย่างหลากหลายขึ้น
⭐จัดวางตำแหน่งใหม่ที่เหมาะสมกว่าที่เดิม
⭐ทำบัญชีทรัพย์สินว่าเรามีอะไรบ้างจะทำให้เรานำออกมาใช้บ่อยขึ้น
💪เมื่อรู้หลักการเบื้องต้นแล้วที่เหลือคือ ทำทันที (Jump into it!!)
⭐Jump into it!! คือ ความกล้าในการตัดสินใจและ การทำทันที
จงมีความกล้าในการตัดสินใจ ว่าจะ Promote หรือ Remove
😫เพราะ การขายออก การทิ้ง การบริจาค ต้องอาศัยความกล้าหาญ กล้าตัดสินใจ
⭐เริ่มเลยทันที
โดยเริ่มเล็กๆก่อน เช่น ห้องเล็กๆ หรืออาจจะเป็นในรถหรือตู้เย็น ตู้เสื้อผ้า โต๊ะทำงาน ก็ได้ เริ่มในที่ๆคุณมีความกล้าพอที่จะเริ่ม กล้าขาย กล้าบริจาค กล้าทิ้ง กล้าประเมินค่า การจัดวาง ของแบบนี้มันต้องฝึก
นอกจากนี้ การปฏิบัติในช่วงแรกๆ อาจจะเลือก Remove หรือ Promote ผิดพลาด คุณต้องทำใจยอมรับ ในระยะยาวคุณจะเลือกเก่งขึ้นเอง
⭐ข้าวของที่ไม่แน่ใจจริงๆ ต้องทำ Leveling
⭐การ Leveling คือการฝาก เก็บ ไว้ไกลๆ (ย้ำไกลๆ)
ถ้าสิ่งไหนที่ไม่แน่ใจล่ะว่าจะ Promote หรือ Remove ดี
ให้ฝากไว้ก่อน อาจจะเป็นบ้านที่ไม่ได้อยู่ โกดังให้เช่า บ้านคนรู้จักที่มีที่ว่าง เก็บใส่กล่องไว้ในห้องเก็บของหยิบยากๆ ยิ่งฝากไว้ไกลๆและหยิบยากยิ่งดี
ลองทดสอบตัวเองดูว่า ในระยะ 3 เดือน-1ปี เราจะ"ต้องใช้"มัน หรือคิดถึงมัน อยากดูมันบ้างหรือไม่ มีอย่างอื่นที่เรา promote ไว้อยู่แล้วแทนที่มันได้หรือไม่
ถ้าผ่านไป 3 เดือน (หรือ6 เดือน 1 ปี) แล้วเราไม่ใช้มัน ให้ ขาย บริจาค หรือทิ้งเลย
⭐ของที่ต้องใช้ให้นำมา promote แทน
⭐ของที่ promote ผิด ก็ให้ Remove
😅อย่างไรก็ตาม การไม่ promote หรือ remove นี้ ถือว่าไม่ใช่หลักการของ minimalism เพราะ minimalism คือการ เป็นเจ้าของให้น้อยแต่มากด้วยคุณค่า รายล้อมด้วยของที่ทำให้เราสุขจริงๆ ไม่ใช่มีไว้"เผื่อว่า"จะมีความสุข มีคุณภาพสูง ใช้บ่อย ของเล็กพริกขี้หนู
การเอาของที่เราไม่แน่ใจว่าเราจะ promote หรือ Remove ดี ไปฝากหรือไปแอบๆไว้ตามบ้านญาติ หรือ ห้องเก็บของ เก็บใส่กล่องที่หยิบยากๆที่เราจะเรียกว่า Leveling ไม่ใช่หลักการของ Minimalism ที่ดี มันเป็นแค่การจัดบ้านธรรมดาเท่านั้น
คงต้องตัดคะแนนความเป็น minimalist ของตัวเอง
แต่ในเบื้องต้น เราก็อาจจะต้องทำบาง เพราะว่า การ"ตัดสินใจ"และ"การปล่อยวาง"ของมือใหม่หัดมินิมอลนั้นยังไม่"คม"พอ แต่ถ้าทำไปเรื่อยๆการตัดสินใจจะคมขึ้นเอง
ของที่เราทำ Leveling บางทีมันอาจจะกลับมาหลอกหลอนเราอีก แต่ของที่ Remove ออกไป มันไปแล้วไปลับไม่กลับมาหลอกเราอีกแล้วครับ
⭐⭐Rational Minimalist จากประสบการณ์ของผมเอง⭐⭐
นี่คือขั้นตอน Remove และ Leveling ของผม
ของที่ต้องขายออก บริจาค ทิ้ง ฝากไว้ไกลๆตัว
นี่คือภาพการ Promote และการจัดบ้าน ของผม
บ้านหลังจาก promote และ จัดเสร็จ
สรุปการทำตามหนังสือ Simplify ของผม
โดยสรุปแล้วผมว่าคุ้มมากๆ ผมทำตามหลักการนี้มา 18 เดือน สิ่งที่ผมพบข้อดีข้อเสียดังนี้
😄ข้อดี
⭐เริ่มได้ทันที ผมเริ่มจากการจัดห้องทำงานก่อน เมื่อเข้าใจหลักการดีแล้วก็เริ่มที่จัดบ้าน
⭐บ้านผม สวยงาม เป็นระเบียบขึ้น ฝุ่นน้อยลง ทำให้สุขภาพดีขึ้น
⭐ได้เงินสดจากการขายทรัพย์สินที่ไม่ได้ใช้เป็นเงินราว 150,000 บาท
⭐นำเงินที่ได้ไปซื้อของที่ชอบ ที่ใช่จริงๆ ที่คุณภาพสูงจริง ตามหลักการ Minimalism ตอนนี้ของรอบตัวผมเป็นของที่ผมชอบและใช้บ่อยจริงๆ
⭐เงินที่เหลือนำไปลงทุนในหุ้นได้ผลตอบแทนกลับมาราว 15 % (ถือยาว 18 เดือน)
⭐หนี้สินลดลง เพราะใช้จ่ายคิดมากขึ้น
⭐จิตใจโปร่งสบายขึ้นจริงๆ ที่โล่งๆ ทำให้ใจโล่งขึ้นจริงๆ
⭐บ้านมีพื้นที่ว่างขึ้น 30% ที่จะใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ ถ้าตีเป็นเงินก็คงจะราวๆ 630,000 บาท
⭐ได้ชื่อว่าเป็นผู้บริจาคหนังสือรายใหญ่ให้กับท้องถิ่น
⭐สมาชิกในครอบครัว พอเห็นว่าการทำตามหลักการนี้มันดี ก็มีความเป็นมินิมอลมากขึ้น
🤕ข้อเสีย
⭐ตอนแยกของ ขายของมือสองผ่านทาง Kaidee Shopee หาทางบริจาค หาคนที่จะให้ การขนไปบริจาค การทิ้งของอย่างถูกหลักการ(แยกขยะ/ทำโน๊ตให้คนเก็บขยะว่าของบางอย่างยังใช้ได้ สามารถนำไปใช้หรือไปขายได้) เหนื่อยมากๆ เหนื่อยจริงๆ
⭐ตอนจัดบ้านก็เหนื่อย เล่นเอาปวดหลัง ปวดหัวเลย
⭐ทิ้งของบางอย่างที่ต่อมา จำเป็นต้องใช้ ซึ่งผมต้องไปซื้อใหม่มาเสียเงินไปราวๆ 1000 บาท (แต่เทียบกับที่ขายของได้150,000 มา ถือว่าน้อยมาก)
⭐สะเทือนใจมาก ที่ต้องขาย ทิ้ง บริจาค ของหลายๆอย่างในช่วงแรก (แต่ตอนนี้ผมเฉยๆละ เพราะ ขายไปให้คนที่อยากใช้มันมากกว่าเรา บริจาคให้คนที่จำเป็นมากกว่าเรา ทิ้งอย่างถูกต้อง คนเก็บขยะก็ได้ประโยชน์จากตรงนี้ บางอย่างเขาใช้เอง บางอย่างเขาขายได้)
📆ทำมา 18 เดือน ชีวิต บ้าน ความคิด การเงิน ผมเบาลงเยอะเลยครับ
💵 แต่ความมั่งคั่งของครอบครัวมากขึ้นนะครับ
ถ้าท่านผู้อ่านเห็นว่าน่าลองก็ Jump into it เลยครับ (ทำทันที ทำสเกลเล็กๆเช่นโต๊ะทำงาน ห้องนอน ก่อนก็ได้ครับ)
วันนี้ลาไปก่อนครับ
คราวหน้ามีหนังสือดีๆมาสรุปให้อ่านอีกครับ แล้วพบกันใหม่ครับ
โฆษณา