8 ธ.ค. 2019 เวลา 13:37 • ธุรกิจ
นำเสนออย่างไรให้โดนใจผู้ฟัง
มาต่อกับการอบรมผู้ประกอบการกับ NEC วันนี้เป็นเรื่องทักษะการนำเสนอ
เพื่อนๆ อาจพอคุ้นๆกับ Business Model Canvas ที่ใช้ในการออกแบบโมเดลธุรกิจ แต่วันนี้ทางวิทยากรคือ อ.หวาน ศรัญญา เสนสุภา แห่ง Durians Corp ได้สอนเครื่องมือใหม่ที่ อ.หวานคิดค้นขึ้น คือ Pitching Model Canvas (PMC)
เราไปดูกันดีกว่า ว่าเราจะใช้เครื่องมือนี้ ช่วยในการออกแบบการนำเสนองานของเราได้อย่างไร
ซึ่งเครื่องมือ PMC เป็นสิ่งที่อาจารย์หวาน กลั่นออกมาจากประสบการณ์ โดยอาจารย์เองก็ได้เคยนำเสนอโมเดลธุรกิจของบริษัท Durians Corp จนได้รับเงินลงทุนจากนักลงทุน 100 ล้านบาท มาแล้ว!
เราไปดูขั้นตอนการเตรียมการนำเสนอ กันเลย
1) วัตถุประสงค์การนำเสนอ
แน่นอนคือ Start with why เราต้องเข้าใจก่อนว่าเราจะเตรียมการเพื่อเสนอใคร การเสนอขายของให้ลูกค้า หรือนำเสนอเพื่อขอเงินลงทุนจากนักลงทุนมก็ต้องเตรียมตัวต่างกัน
2) กลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์เราคือใคร (Target/Focus Group)
ให้เราลองลิสต์ กลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ออกมาทั้งหมด
จุดสำคัญคือ เราต้องระบุ บุคลิกลักษณะ (Persona) ออกมาใช้ชัดเจน จะให้ดีระบุเป็นชื่อคน (หรือชื่อบริษัท กรณีขายของให้บริษัท) และดูว่าเขามีรายได้ กำลังซื้อ อย่างไรบ้าง
ให้มองไปถึงครอบครัวของเขา และความชอบส่วนตัวของเขาด้วย คือมองให้ลึกที่สุด จนบางทีรู้เยอะกว่าตัวลูกค้าเอง
นอกจากนี้ลองดูว่า เราจะเข้าถึงลูกค้าเหล่านั้นได้อย่างไรบ้าง เสร็จแล้วให้ลองเลือกว่า เราจะพูดถึงลูกค้ากลุ่มไหน ในการนำเสนอครั้งนี้
3) ปัญหา (Problem/Pain)
ลองดูว่าลูกค้าต้องการอะไร ให้ระบุปัญหาของลูกค้า โดยให้ระบุเป็นคำๆ ให้สั้นๆที่สุด
ที่สำคัญให้เราวิเคราะห์ให้ลึกว่า ทำไม หลายๆ รอบ จนเจอความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า เช่น การที่ลูกค้าบีบ Supplier ให้ลดต้นทุน อาจเกิดจาก ลูกค้าขายของไม่ออก ทำให้ต้องจ่ายค่าการตลาดเพิ่ม จึงต้องมาบีบ Supplier ดังนั้น หากใครเป็น Supplier อาจสอบถามสาเหตุ และลองไปช่วยลูกค้าแก้ปัญหาดู ก็จะช่วยได้
เช่น อ. ยกเคส ของ ผู้ประกอบการรายหนึ่ง อยากทำธุรกิจ เลยไปสังเกตว่า อะไรขายดีใน 7-11 จนพบว่า สิ่งที่ขายดีมากไป คือ "สบู่"
เมื่อสืบลงไปลึกๆ ก็พบว่า กลุ่มสาวๆโรงงาน ชอบสบู่ที่ใช้แล้วผิวขาว ผู้ประกอบการรายนั้น ก็เลยเรียนทำสบู่ และทำผลิตภัณฑ์ออกมาตอบโจทย์ เน้นเรื่องผิวขาว ในราคาที่เข้าถึงได้ ขายออนไลน์
ผลตอบรับ ถล่มทลาย ยอดขาย 60 ล้านบาทต่อปี จน 7-11 ต้องมาติดต่อให้ไปขายใน 7-11
4) Product/Service
ตรงไปตรงมา คือ สินค้าและบริการ เราคืออะไร ที่จะตอบโจทย์ลูกค้า
5) จุดขาย (Unique Value Proposition)
อันนี้ให้ระบุเป็นคำๆ เช่นกัน เช่น คุ้มค่า ง่ายขึ้น เร็วขึ้น ปลอดภัยกว่า อะไรนี้ (เพราะเราจะเอาคำนี้ไปใช้ทำการตลาดได้)
6) ขนาดตลาด และการตรวจสอบว่ามีตลาดจริงหรือไม่
อันนี้สำหรับนำเสนอให้นักลงทุน ก็ต้องวาดฝันหน่อยว่าตลาดที่เราจะเข้าไปขายของมันใหญ่ขนาดไหน และเรามีหลักฐานยืนยันอย่างไร ว่าเราสามารถเข้าถึงตลาดที่เราว่าได้
7) Competition/Key player
จากนั้น เราก็ต้องมองดูคู่แข่ง ในจุดนี้ต้องดูทั้งคู่แข่งทางตรง และทางอ้อมด้วย เช่น ธุรกิจร้านอาหารในห้าง คู่แข่งทางตรงอาจเป็นร้านข้างกัน ทางอ้อมอาจเป็นแอพฯ ส่งอาหาร
แต่ จริงๆ แล้ว คู่แข่งกัน ก็อาจมองเป็นพาร์ทเนอร์ ก็ได้
8) Business Model/Financial Model
คือ เรามีช่องทางที่จะหารายได้อย่างไรบ้าง เช่น ขายของ ค่าโฆษณา ค่าคอมมิชชั่น หรือ ค่าสมาชิก เป็นต้น
9) Traction/Milestone/Go-to-market strategy
ข้อนี้เราอาจบอกว่า มีลูกค้าใช้บริการเราแล้วกี่คน หรือมีลูกค้าที่มีชื่อเสียง ใช้บริการเราหรือไม่
10) Founder and Team
ผู้ก่อตั้ง และทีมงาน มีความมุ่งมั่น และความน่าเชื่อถือ ที่จะนำธุรกิจไปสู่ความสำเร็จได้หรือไม่ ข้อนี้ อาจารย์ แนะนำ
11) Unfair Advantage/Why you?
คือ เรามีอะไรที่คู่แข่งไม่มี แล้วทำให้เราได้เปรียบ โดยข้อนี้ อาจเริ่มจาก วิเคราะห์ว่าคู่แข่งเก่งตรงไหน แล้วมาดูว่าเราต่างกับคู่แข่งตรงไหน จะเจาะตลาดตรงไหนดี
ข้อนี้ อ. ยกตัวอย่าง Grab ช่วงเริ่มต้น โดยมีคนถามว่า Grab ที่มาทำโปรแกรมเรียกรถแท๊กซี่ ไม่กลัวโดนลอกหรอ
ผู้บริหาร Grab ตอบว่า ไม่กลัว เพราะว่า Grab ลงทุนมาแล้วเยอะมาก (ใครยังจำช่วงโปรโมชั่น ลดแลกแจกแถม แย่งลูกค้า ได้บ้าง)
และนอกจากนี้ Grab ช่วงแรกที่มาไทยใหม่ๆ ก็ใช้ชื่อ Grab Taxi คือจับกลุ่ม Taxi ก่อน ไม่เหมือน Uber ช่วงนั้นที่เน้นรถบ้าน
12) ทำไมต้องเดี๋ยวนี้
มีปัจจัยมหภาค ที่รองรับไหม เช่น เทรนด์สังคมผู้สูงวัย ธุรกิจการศึกษา (เพราะเศรษฐกิจไม่ดี คนอาจต้องรีบหาความรู้เพิ่ม) เป็นต้น
นอกจากการเตรียมเรื่องราวแล้ว ผู้นำเสนอก็จำเป็นที่ จะต้องฝึกฝน ให้เป๊ะที่สุด
โดยทราบหรือไม่ว่า ระดับมือโปร อย่าง สตีฟ จ็อบส์ ยังต้องซ้อมกว่า 50 รอบ กว่าจะขึ้นเวทีนำเสนอได้
ตัวอย่าง Elevator Pitch
สุดทัาย เพื่อนๆ ทราบหรือไม่ว่า มนุษย์สามารถรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสในช่องทางใดมากที่สุด?
หู, ตา, สัมผัส, กลิ่น, รส
.
.
.
.
.
คำตอบก็คือ ทางตา 75%, ทางหู 13%, สัมผัส 6%, ดมกลิ่น 3%, ชิมรส 3%
ซึ่งจะเห็นได้ว่า แค่หูและตา ก็เกือบ 90% แล้ว ดังนั้น บุคลิกภาพการแสดงอารมณ์ และ การพูดให้น่าฟัง ไม่ใช่พูดเสียงโมโนโทน ก็มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งก็ต้องฝึกฝน
การเลือกนำเสนอ ก็ขึ้นกับกาละเทศะ แต่โดยสรุป พูดให้สั้นที่สุด เป็นดี เพราะคนสมัยนี้ โดยเฉพาะนักลงทุน คงไม่ได้มีว่างมาฟังยาวๆ
แต่ยิ่งเราต้องพูดสั้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องเตรียมตัวมาก เหมือนคำจากนักธุรกิจว่า "หากนำเสนอ 1 ชั่วโมงเตรียมตัว 1 ชั่วโมงก็พอ แต่หากต้องนำเสนอ 1 นาที อาจต้องเตรียมตัวถึง 3 วัน"
ก็เอามาฝากประมาณนี้นะครับ
💡ไม่อยากพลาดข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ และกลยุทธ์ทางธุรกิจ
กดติดตาม "นำเข้าส่งออก สุดขอบฟ้า"
และสำหรับผู้นำเข้าส่งออก เชิญเข้าร่วมกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ หาช่องทางนำเข้าส่งออก และข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับการนำเข้าส่งออก ได้ที่
#นำเข้าส่งออกสุดขอบฟ้า
#zupports
#แอดนำเข้า
โฆษณา