11 ธ.ค. 2019 เวลา 12:58 • ไลฟ์สไตล์

😏ขจัดหมู่มารหมู่พาล

💓โอกาสออกกำลังใจ💖
💁"คิดอีกมุม"💡
🎑หยาดเพชรสราญ✨
💡บทความคิดชีวิตส่วนตน ที่อยากแบ่งปันต่อไปให้รู้จัก และเข้าใจกันมากขึ้นนะจ๊ะ
มนตราของชาวธิเบตที่นับถือพุทธศาสนา
มนตร์แห่งมหากรุณา "โอม มณี ปัท เม ฮัม"
ขึ้นต้นด้วย โอม ॐ พยางค์ศักดิ์สิทธิ์
"สวดมนต์ชำระล้างจิตใจ คือ การกระทำที่มีคุณค่าที่สุดที่พึงให้ความสำคัญกระทำ"
: หยาดเพชรสราญ
3
💡"คิดอีกมุม"🎑หยาดเพชรสราญ✨
💖บุญอยู่ที่เจตนา💞ทำดีมีกำลังใจ💗
*โอกาสสร้างสุข💓โอกาสออกกำลังใจ*
😚🎶ใจโพสต์รัก❤โอกาสสุขซีรีส์💌
🙏ภาวนาเผชิญผ่านขจัดภัยมาร
มีปัญญารู้ตามจริง...ปฏิบัติดีมีกำลังใจ
"นำโม กวน ซือ อิม ผ่อ สัก
โอม มานี เปะเม ฮง"
“ข้าพเจ้าขอนอบน้อมเอาพระรัตนตรัย และดวงใจของพระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์มาไว้ในดวงใจของข้าพเจ้า ก็คือ มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ คือ มีพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะเป็นที่พึ่งอันสูงสุด และมีจิตเป็นมหาเมตตากรุณาดุจดั่งพระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์เจ้า”(cr:awatarn84)
✨โอม་มณี་ปัทเม་ฮัม
✨ཨོཾ་མཎི་པདྨེ་ཧཱུྃ
✨Om་Mani་Padme་Hum
✨pure body་jewel་wisdom་unity
✨ดวงมณีในดอกบัวอันคือจิตใจที่เบิกบาน สว่าง สะอาด หลุดพ้น จากกิเลสอันเป็นเครื่องพันธนาการให้จิตใจเศร้าหมอง
✨โดยต้องลดละ มานะ ริษยา ตัณหา อวิชชา โลภะ โทสะ คือ อกุศล6
เพื่อให้บรรลุ ทาน ศีล ขันติ วิริยะ สมาธิ ปัญญา คือ โพธิสัตว์บารมี
เป็นคาถาหัวใจหกพยางค์ในภาษาสันสกฤต ของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ หรือพระโพธิสัตว์กวนอิมเปี่ยมเมตตา ที่สวดมนต์ในขณะใช้ลูกปัดอธิษฐาน เป็นหลักปฏิบัติทางศาสนาที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในพุทธศาสนาในทิเบต ถูกมองว่าเป็นรูปแบบย่อของคำสอนทางพุทธศาสนาทั้งหมดปรากฏตัวครั้งแรกในมหายาน
🔰cr:มูลนิธิบุญญานุภาพ
🔰cr:วิกิพีเดีย
🔰cr:awatarn84
"คิดอีกมุม" #42
..ตั้งนานแล้วที่ฉันอยากจะบูชาจี้สร้อยโอม และเป็นที่ได้รับการปลุกเสกจากเนปาล
ได้แต่ส่องดูจากร้านค้าออนไลน์ ซึ่งมีไม่กี่ร้านที่นำมา แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นของจริง? หรือไม่อย่างไร? และก็มีแต่ที่เป็นกำไล เลยไม่ได้สั่งมา
อยากบูชาอยู่เรื่อยมา แต่ไม่รู้ว่าจะหาของแท้ๆจากที่ใด ไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย จนเวลาผ่านไปนานจนเกือบลืม
2
แล้ววันที่ 10 ธ.ค. ลองไปที่ยังไม่เคยไปนี้ ก็บังเอิญได้ไปเจอร้านบูชารูปปั้นเครื่องรางของขลังแนวเทพองค์ใหญ่ๆต่างๆ ซึ่งเรามีองค์เล็กๆก็เพียงพอแล้ว
ตอนแรกแค่ดูผ่านๆ แต่ด้วยว่าเห็นเจ้าของร้านเฝ้ารอคนมาซื้อ เกิดเห็นใจอยากอุดหนุนขึ้นมา
ก็เลยลองดูของเล็กๆที่จะได้ใช้พกพาได้ มีแหวน กำไลสร้อยประคำต่างๆ ซึ่งไม่สะดวกใส่
เลยมองไปอีกตู้กระจกเห็นบรรดาจี้สร้อยมากมายลายตา ด้วยความไม่รู้จักเท่าใดนัก ได้ถามและทราบจากเจ้าของร้านที่คาดว่ามาจากเนปาลที่พูดไทยได้ความว่า ผ่านการปลุกเสกแล้ว เป็นงานทำแฮนเมด
ก็นึกได้ว่าเคยอยากบูชาจี้โอม ดูอยู่สักพักใหญ่ เพราะจี้สร้อยมีหลายแบบมาก และไม่มีความรู้ด้านนี้เท่าไหร่เลย
เลือกดูจี้โอมอยู่หลายอัน จนไปเจอจี้อันที่มีโอมตรงกลางและล้อมรอบด้วยบทสวด ซึ่งทราบจากเจ้าของร้าน ที่ยังจำไม่ได้ตอนนั้น และไม่รู้ว่าคือบทสวดอะไร? มีความสำคัญอย่างไร? และมีแบบอื่นที่เป็นวงล้อบทสวดเช่นเดียวกัน
ถึงจี้สร้อยโอมล้อมคาถานี้แม้ไม่ได้สวยเนี้ยบมากแต่ถูกชะตาเลยบูชามา ปรากฏว่ามาทราบภายหลังด้วยความดีใจปนประหลาดใจว่าเป็น จี้โอม มณี ปัท เม ฮัม!!!
สาเหตุที่ปรารถนาบูชาโอมเพราะจะได้ระลึกถึงความหมายข้างพระพุทธศาสนาเลียนเอามาใช้หมายถึง พระรัตนตรัย คือ อ = อรหํ (พระพุทธเจ้า) อุ = อุตฺตมธมฺม (พระธรรมอันสูงสุด) ม = มหาสงฺฆ (พระสงฆ์) นับถือเป็นคําศักดิ์สิทธิ์ เป็นคำขึ้นต้นของการกล่าวมนตร์
ซึ่งความหมายก.
กล่าวคําขึ้นต้นของมนตร์. (ส.).
นำข้อมูลมาจากพจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน
และจากที่ได้พบข้อมูลจัดทำโดย กอง บก. สยามคเณศดอทคอม ที่มีรายละเอียดข้อมูลของเครื่องหมายโอม สัญลักษณ์แห่งศาสนาพราหมณ์ ดังนี้
ในบทสวดมนต์ของเทพทุกองค์ในศาสนาพราหมณ์ จะขึ้นต้นด้วยคำว่า "โอม..."
และในรูปวาดมหาเทพเกือบทุกรูป จะปรากฏเครื่องหมาย "โอม" อยู่ส่วนใดส่วนหนึ่งในภาพ ซึ่งคำว่า โอม นี้เป็นหัวใจหลักของศาสนาเลยทีเดียว!!
โอม...เป็นพยางค์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นคำที่ถูกเอ่ยถี่ที่สุด ในการสวดมนต์ทุกบทของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
คำว่า โอม มีลักษณะดังที่เห็นในรูป สังเกตุได้จากลักษณะเด่น คือ
- มีเครื่องหมายคล้ายเลข 3 นำหน้า
- มีเครื่องหมายคล้าย ง. งู ต่อท้าย
- มีถ้วยและหยดน้ำ (เครื่องหมายจุดพินทุ) อยู่ด้านบน
(นอกจากโอมแบบมาตรฐานนี้แล้ว ยังมีอีกหลายลักษณะ ตามแต่ละท้องถิ่นและภาษาของอินเดีย ผู้เขียนจะนำมาเล่าในโอกาสต่อไป)
อักขระ โอม เกิดจากการเรียกพระนามของพระตรีมูรติทั้ง 3 รวมกันเป็นคำเดียว ซึ่งแยกได้ดังนี้
อะ - มาจากเสียงสุดท้าย
ของคำว่า พระศิวะ (อะ)
อุ - มาจากเสียงสุดท้าย
ของคำว่า พระวิษณุ (อุ)
มะ - มาจากเสียงสุดท้าย
ของคำว่า พระพรหมมะ (มะ)
อะ อุ มะ....เมื่ออ่านออกเสียงให้ต่อเนื่องกัน จึงเกิดเป็นคำว่า "โอม" หมายถึงการเรียกขานพระนามของ 3 มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ ในหนังสือบางเล่ม จะสลับความหมายไปมา บ้างก็ว่า อะ คือพระวิษณุ บ้างก็ว่า มะ คือพระศิวะ สลับไป สลับมา แต่ละเล่มก็เลยเขียนไม่เหมือนกันเลย ขอผู้อ่านได้โปรดจำให้ขึ้นใจ จะได้ไม่สับสน
คำว่า โอม ยังสามารถแยกออกเป็นคำๆ ซึ่งมีที่มาโดยการเปล่งเสียงแต่ละคำของมหาเทพได้อีกดังนี้
1. ตัว อะ - ออกจากพระพักตร์ทางทิศเหนือของมหาเทพ
2. ตัว อุ - ออกจากพระพักตร์ทางทิศตะวันตกของมหาเทพ
3. ตัว มะ - ออกจากพระพักตร์ทางทิศใต้ของมหาเทพ
4. ตัว . (พินทุ) - ออกจากพระพักตร์ทางทิศตะวันออกของมหาเทพ
5. เสียง นาท (เสียงที่มนุษย์ไม่สามารถได้ยินและเข้าใจได้) - ออกจากกลางพระพักตร์ของมหาเทพ
เมื่อท่านผู้ศรัทธาเดินผ่านเทวาลัยพระพิฆเนศวร หรือมหาเทพองค์ใดๆ ควรพนมมือขึ้นเพื่อทำความเคารพ และให้เอ่ยคำว่า "โอม..."สั้นๆเพียงคำเดียวในกรณีที่จำบทสวดเทพองค์นั้นๆไม่ได้ และไม่ใช่เอ่ยคำว่า "สาธุ" นะครับ ต้องเป็นคำว่า "โอม" เท่านั้น จะสวดมนต์ จะขอพร จะกราบ หรือกระทำสิ่งใดก็ตามแต่ ให้เอ่ยคำว่า "โอม" เสมอ
ฉะนั้นนับแต่นี้ไป หากท่านได้พบเห็นเทวรูปพระพิฆเนศ หรือเทพองค์อื่นของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ประดิษฐานอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม ให้เอ่ยคำว่า "โอม" แทนคำว่า "สาธุ" ก็จะถูกต้องตามหลักปฏิบัติมากกว่าครับ
ท่านผู้ศรัทธาควรหมั่นสวดบูชาเครื่องหมายโอมนี้ด้วยเสมอ
หลังจากที่สวดบูชาเทพทุกองค์เสร็จแล้ว มีคำสวดดังนี้
โอม การัม พินทุสัมยุกตัม
นิตยัม ธยายันติ โยคินา
กามะทัม โมกะสะทัม ไจวะ
โอม การายะ นะโม นะมะ ฯ
ความหมายของบทสวด :
เครื่องหมาย โอม อันศักดิ์สิทธิ์นี้ ปรากฏคู่กับเครื่องหมาย พินทุ เสมอ
อันจะเป็นเครื่องหมายที่นำความปรารถนา สุขสมหวังมาให้
สามารถขจัดอุปสรรคทั้งหลายให้หมดสิ้น และชี้นำเหล่าโยคีไปสู่ปรีชาญาณ
ข้าพเจ้าขอน้อมสักการะเครื่องหมายโอมอันศักดิ์สิทธิ์นี้....
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
กอง บก. สยามคเณศดอทคอม
และในส่วนความเป็นมาความหมายของคาถาล้อมรอบในจี้สร้อย ซึ่งได้มาค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมภายหลังจากบูชาจี้สร้อยมา มีดังนี้
มนตร์แห่งมหากรุณา
**โอม มณี ปัท เม ฮัม**
คนธิเบตออกเสียงเป็น โอม มณี เปเม ฮัม
มนตร์บท
นี้เปี่ยมด้วยพระมหากรุณา และ พระพรของพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งมวล
โดยเฉพาะพระอวโลกิเตศวร พระพุทธเจ้าผู้ทรงมหากรุณา พระอวโลกิเตศวรคือรูปปรากฎแห่งพระพุทธเจ้าในสัมโภคกาย และมนตร์ของพระองค์ถือเป็นสารัตถะแห่งการุณยธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงมีต่อสรรพสัตว์ ท่านปัทมสัมภวะเป็นอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวธิเบตฉันใด อวโลกิเตศวรก็เป็นพระพุทธเจ้าและเทพที่มีความสำคัญที่สุดสำหรับชาวธิเบตฉันนั้นมีคำกล่าวอันลือชื่อว่า พระพุทธเจ้าแห่งมหาการุณยธรรมได้สถิตอยู่ในจิตสำนึกของชาวธิเบต กระทั่งว่าเด็กคนใดที่สามารถพูดคำว่า”แม่” ได้ ย่อมเอ่ยมนตร์ โอม มณี ปัทเม ฮัม ได้
ตำนาน
กล่าวกันว่าหลายกัปกัลป์นานมาแล้ว เจ้าชายพันองค์ได้อธิษฐานเป็นพระพุทธเจ้า มีองค์หนึ่งได้กลายเป็นพระพุทธเจ้าที่เรารู้จักนามว่า โคตมะสิทธัตถะ อย่างไรก็ตามพระอวโลกิเตศวรได้อธิษฐานไม่เข้าถึงความรู้แจ้งจนกว่าเจ้าชายพันองค์ได้กลายเป็นพระพุทธเจ้าด้วย ด้วยพระกรุณาอันหาประมาณไม่ได้ พระองค์ยังอธิษฐานขอปลดเปลื้องสรรพสัตว์จากความทุกข์ในทุกภพภูมิแห่งวัฏสงสาร ทรงสวดเบื้องพระพุทธเจ้าแห่งทิศทั้งสิบว่า
“ขอให้ข้าพเจ้าช่วยเหลือสรรพสัตว์ และหากข้าพเจ้าเหนื่อยล้าในภาระกิจอันยิ่งใหญ่นี้ ขอให้ร่างข้าพเจ้าแตกสลายนับพันเสี่ยง” กล่าวกันว่าท่านลงไปยังนรกภูมิก่อน แล้วผ่านเปรตภูมิขึ้นไปยังเทวภูมิ ณ เทวภูมินั่นเอง พระองค์บังเอิญมองลงไปแล้วก็พบอย่างไม่คาดคิดว่า แม้พระองค์ได้ช่วยสัตว์ไม่มีประมาณให้พ้นจากนรกแล้ว กระนั้นยังมีอีกนับไม่ถ้วนหลั่งไหลไปยังนรกอีก พระองค์จึงทรงสังเวชใจอย่างที่สุด ชั่วขณะนั้นเองที่พระองค์เกือบสิ้นศรัทธาในคำอธิษฐานอันสูงส่งนั้น
แล้วพระวรกายของพระองค์ก็แตกเป็นพันเสี่ยงด้วยความทดท้อ พระองค์เพรียกหาพระพุทธเจ้าทั้งหลายเพื่อขอความช่วยเหลือจากทั่วทุกสารทิศในจักรวาล พระพุทธเจ้าทั้งหลายได้เสด็จมาช่วยเหลืออย่างมืดฟ้ามัวดินประหนึ่งพายุหิมะอันอ่อนนุ่ม ด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าทั้งมวล
พระวรกายของพระองค์จึงได้รวมกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นเอง พระอวโลกิเตศวรได้มี 11 เศียร พันกร ทุกฝ่าพระหัตถ์มีพระเนตร แสดงถึงการผนึกแน่นเป็นหนึ่งเดียว ระหว่างปัญญาและอุปายโกศล อันเป็นเครื่องหมายของกรุณาที่แท้ ด้วยรูปลักษณ์นี้พระองค์จึงสว่างไสวและทรงอำนาจในการช่วยสรรพสัตว์ยิ่งกว่าแต่ก่อน พระกรุณาได้แผ่ขยายยิ่งกว่าเดิม ขณะที่พระองค์ทรงย้ำคำอธิษฐานเบื้องหน้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายว่า
“ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จนกว่าสรรพสัตว์จะบรรลุธรรม”
กล่าวกันว่า ด้วยความโศกเศร้าในความทุกข์ในวัฏสงสาร พระอัสสุชลสองหยดได้หลั่งจากพระเนตรของพระองค์ แต่พระพรของพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้แปรเปลี่ยนพระอัสสุชลทั้งสองให้กลายเป็นพระนางตาราสองพระองค์ องค์แรกมีร่างสีเขียว เป็นตัวแทนแห่งพลังอันแข็งขันของการุณยธรรม ส่วนอีกองค์นั้นมีสีขาว เป็นตัวแทนแห่งกรุณาของมารดา พระนางตาราหมายถึง “พระนางผู้ปลดเปลื้อง” ผู้ทรงล่องเรือข้าม “ห้วงมหรรณพแห่งสังสารวัฏ”
พระนางตาราผู้มีกำเนิดจากน้ำตาของพระโพธิสัตว์
ในพระสูตรมหายานได้กล่าวถึงพระอวโลกิเตศวรว่า ทรงถวายมนตร์ของพระองค์แก่พระพุทธเจ้าด้วยพระองค์เอง ส่วนพระพุทธเจ้าก็ทรงมอบภารกิจอันสูงแก่พระองค์ในการช่วยสรรพสัตว์ในจักรวาลให้ได้บรรลุพุทธภาวะ ณ ตรงนี้เอง เทวดาทั้งหลายได้โปรยดอกไม้ลงมาให้แก่ทั้งสองพระองค์ พสุธาไหวสะเทือน อากาศดังกระหึ่มด้วยเสียง โอม มณี ปัทเม ฮัม หริ
กวีได้รจนาว่า ;
อวโลกิเตศวรดังดวงจันทร์
แสงนวลได้ดับเพลิงแห่งสังสารวัฏ
ดอกบัวแห่งการุณยธรรมที่บานยามค่ำคืน
แย้มกลีบกว้างท่ามกลางรัศมีวันเพ็ญ
มีคำสอนอธิบายว่าแต่ละพยางค์ของมนตร์ โอม มณี ปัทเม ฮัม มีอานิสงค์ โดยเฉพาะในการแปรเปลี่ยนตัวเราในระดับต่างๆ ทั้งหกพยางค์ ชำระล้างอย่างสิ้นเชิงซึ่งอกุศลจิตทั้งหก อันเกิดขึ้นจากอกุศลและทำให้เรากระทำ อกุศลกรรมทั้ง กาย วาจา ใจ ก่อให้เกิดสังสารวัฏและความทุกข์ มานะ ริษยา ตัณหา อวิชชา โลภะ และโทสะ ถูกมนตร์แปรเปลี่ยนให้กลับคืนสู่สภาวะเดิมแท้ของมัน อันได้แก่ ปัญญาญาณแห่งพระพุทธเจ้าทั้งห้าวงค์ ซึ่งปรากฏ ซึ่งปรากฎแสดงในโพธิจิต
ดังนั้นเมื่อเรากล่าวมนตร์ โอม มณี ปัทเม หุม อกุศลจิตทั้งหกซึ่งเป็นสาเหตุแห่งภพทั้งหกของสังสารวัฏจึงถูกชำระล้างนี่คือสาเหตุว่าเหตุใด การออกเสียงหกพยางค์จึงป้องมิให้ไปเกิดใหม่ในภพทั้งหก และยังขจัดความทุกข์ที่แฝงอยู่ในภพดังกล่าว ขณะเดียวกับที่การกล่าว โอม มณี ปัทเม หุม ได้ชำระล้างขันธ์ทั้งห้า และทำให้ บารมีทั้งหกของโพธิจิตถึงความพร้อมสมบูรณ์ อันได้แก่ ทาน ศีล ขันติ วิริยะ สมาธิ ปัญญา ยังกล่าวด้วยว่า โอม มณี ปัทเม ฮัม ยังช่วยปกป้องให้พ้นจากอกุศลทุกชนิดและโรคภัยทั้งปวง
บ่อยครั้ง มีการเติม หริ หรือ พยางค์หน่อเนื้อเชื้อของอวโลกิเตศวร ในมนตร์บทนี้ กลายเป็น โอม มณี ปัทเม ฮัม หริ สาระของการุณยธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งมวล หรือ หริ เป็นตัวเร่งที่กระตุ้นการุณยธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลายให้แปรเปลี่ยนอกุศลจิต ให้คืนสู่ธรรมชาติเดิมแท้อันกอปรด้วยปัญญา
ท่านคาลุ รินโปเช กล่าวว่า
มีการตีความมนตร์บทนี้อีกอย่างหนึ่งว่า เสียง โอม คือสารัตถะแห่งรูปของผู้เข้าถึงความรู้แจ้ง มณี ปัทเม หรือ พยางค์ทั้งสี่ กลางบท หมายถึง คำพูดของผู้บรรลุธรรม และ พยางค์สุดท้าย หุม หมายถึง จิตใจของผู้เข้าถึงความรู้แจ้ง กาย วาจา และ ใจของพระพุทธเจ้าและ พระโพธิสตว์ทั้งหลายดำรงอยู่ในเสียงของมนตร์บทนี้
มนตร์บทนี้ได้ชำระล้างสิ่งเคลือบคลุมครอบงำกาย วาจา และใจ ทั้งยังนำสรรพชีวิตเข้าสู่ความรู้แจ้ง เมื่อมนตร์บทนี้ประกอบเข้ากับศรัทธา และ วิริยะ ในการบำเพ็ญสมาธิภาวนาและการสาธยายมนตร์ อานุภาพในการแปรเปลี่ยนของมนตร์บทนี้ได้บังเกิดและเพิ่มพูน เป็นไปได้จริงๆ ที่ชำระล้างตนเองด้วยวิธีนี้
สำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับมนตร์บทนี้ และ สาธยายด้วยความจริงจังและศรัทธาตลอดชีวิต คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต ได้กล่าวไว้ในบาร์โด” เมื่อเสียงแห่งธรรมดากัมปนาทประหนึ่งอสนีบาตนับพัน ขอให้เสียงเหล่านี้กลายเป็นเสียงหกพยางค์ ” ในทำนองเดียวกัน สุรังคมสูตรได้กล่าวไว้ว่า
เสียงทิพย์แห่งอวโลกิเตศวรเจ้าช่างลึกลับและงดงามยิ่ง เป็นเสียงปฐมกัลป์แห่งจักรวาล… เป็นเสียงกระซิบของกระแสน้ำขึ้นลงของทะเลภายใน เสียงลึกลับนี้ทำให้ความหลุดพ้นบังเกิดแก่สรรพชีวิตผู้เรียกหาความช่วยเหลือด้วยความทุกข์ทรมาณ อีกทั้งยังนำความสงบมาให้แก่สัตว์ทั้งหลาย ผู้แสวงหาสันติอันไร้ขอบเขตแห่งพระนิพพาน.
โอม มณี ปัทเม ฮัม
“โอ..ดวงมณีในดอกบัว”
มณีแห่งดอกบัวหรือหัวใจที่เบิกบาน ใจที่สะอาด สว่าง หลุดพ้น จากเครื่องพันธนาการ
หลุดพ้นจากกิเลสที่ร้อยรัดให้เศร้าหมอง มณีแห่งปัญญาคือดอกบัวสว่างที่กลางใจ มณีนี้คือใจของเรา
โอม มณี ปัทเม หุม แปลตรงตัวคงแปลได้ว่า “โอ..ดวงมณีในดอกบัว”
หรืออย่างที่ชาวจีนออกเสียงว่า “โอม มา นี แปะ หมี่ ฮง”
มณีแห่งดอกบัวหรือหัวใจที่เบิกบาน ใจที่สะอาด สว่าง หลุดพ้น จากเครื่องพันธนาการ
หลุดพ้นจากกิเลสที่ร้อยรัดให้เศร้าหมอง มณีแห่งปัญญาคือดอกบัวสว่างที่กลางใจ มณีนี้คือใจของเรา
ดอกบัวคืออาสนะอันบริสุทธิ์ ดังนั้นผู้ที่ภาวนาพระคาถานี้อยู่เนืองๆ
ย่อมเป็นผู้ที่มีแก้วสารพัดนึกที่จะเป็นอาสนะอันวิเศษ ซึ่งจะนำพาให้ไปถึงนิพพานโลกธาตุได้ในที่สุด
มูลเหตุแห่งพระคาถา
ในครั้งที่พระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรกำลังเข้าสมาธิบำเพ็ญบารมีอยู่นั้น
หมู่มารได้มาราวีรังควาน แต่พระเมตตาพระองค์จึงไม่ได้ทรงตอบโต้
ยิ่งทำให้หมู่มารได้ใจราวีหนักขึ้น จนในที่สุดพระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรได้ทรงเปล่งพระวาจาออกมาสั้น ๆ เพียง 6 คำ แต่เปี่ยมล้นด้วยบุญญาภินิหารอันยิ่งใหญ่ไพศาลมิอาจจะเปรียบประมาณได้
ซึ่งก่อกำเนิดมาจากก้นบึ้งแห่งดวงจิตที่ได้บำเพ็ญสั่งสมบุญบารมีมานานนับภพนับชาติไม่ถ้วน
ยิ่งกว่าเม็ดทรายในมหานทีคงคา พระคาถาอันกล่าวอ้างถึง บารมีธรรมแห่งพระโพธิสัตว์ทั้งหกประการ
พระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของชาวพุทธวัชรญาณ เป็นเสมือนหัวใจแห่งพุทธวัชรญาณ
ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ของพระคาถาบทนี้เอง ทำให้หมู่มารทั้งหลายต่างขวัญหนีแตกกระเจิงไปสิ้น
อีกทั้งเหล่าทวยเทพยดาบนชั้นฟ้าต่างต้องสะดุดลุกขึ้นมาโมทนาโดยทั่วถ้วน
โอม มณี ปัท เม ฮัม’ (เส้อ) แปลว่า
“ข้าพเจ้าขอนอบน้อมเอาพระรัตนตรัย และดวงใจของพระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์มาไว้ในดวงใจของข้าพเจ้า ก็คือ มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ คือ มีพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะเป็นที่พึ่งอันสูงสุด และมีจิตเป็นมหาเมตตากรุณาดุจดั่งพระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์เจ้า”
ขอขอบคุณข้อมูลจาก awatarn84
หวังว่าจะได้รับประโยชน์ที่มีคุณค่านี้
ที่ได้รวบรวมข้อมูลมาแบ่งปันกัน
ลงเป็นบทความในวันนี้นะจ๊ะ
ขอให้ชาวพุทธมีพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่งสูงสุดในดวงจิตทุกผู้ทุกนามเลยนะจ๊ะ💖
💝ฝากกดติดตาม กดไลค์ กดแชร์
เป็นกำลังใจที่ดีที่สุดแก่ผู้เขียนนะจ๊ะ
จะคอยแบ่งปันเป็นกำลังใจดีๆ
ให้แก่กันเสมอๆจ้า🎁
ภาพและบทความ
: หยาดเพชรสราญ
เพจ #คิดอีกมุม
ขอบคุณรูปภาพจาก finearts

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา