17 ธ.ค. 2019 เวลา 14:40 • กีฬา
หนังเรื่องใหม่ที่แฟนหงส์คนไหนก็ไม่เคยได้ชม
.
.
คุณเชื่อหรือไม่.... การจะเป็นแชมป์ลีกจริงๆ จำเป็นจะต้องมีนักเตะคลาส S ที่สร้างความแตกต่างได้อยู่ในทีม แล้วบังเอิญว่าฟอร์มของเจ้าตัวจะต้องระเบิดระเบ้อในฤดูกาลนั้นด้วย
ผมเชื่อนะครับ ถ้าหากนักเตะคนนั้นคือลิโอเนล เมสซี
ผมเคยเชื่อมาตลอดว่าทีมจำเป็นจะต้องมีนักเตะที่เป็น S ของทีมอยู่หนึ่งคนที่จะพาทีมไปถึงฝั่งฝันให้ได้ พาทีมประสบความสำเร็จ พาทีมได้แชมป์ที่รอคอย แต่วันแล้ววันเล่า เมื่อกาลเวลาผ่านเลยไป คำตอบมันกลับไม่ใช่แบบนั้น
ย้อนกลับไปในปี 2007-2010 ที่ลิเวอร์พูลมี S ประจำทีมถึง 2 คนอย่างสตีเวน เจอร์ราร์ด กับเฟอร์นานโด ตอร์เรส ทั้งสองคนกลายเป็นคู่หูดูโอ้ที่โคตรรู้ใจชนิดที่ว่าอีกคนหลับตาเปิดบอลไปให้ยังได้ ส่วนอีกคนหลับตายิงก็ยังเข้าประตู
กลายเป็นคู่หูที่สั่นสะเทือนไปทั่วสารทิศ สร้างลิเวอร์พูลให้กลายเป็นทีมแถวหน้าประจำยุโรป แต่สุดท้ายทั้งสองคนไม่เคยได้สัมผัสโทรฟี่ใดๆร่วมกันเลยแม้แต่ถ้วยเดียว
ถัดมาในช่วงที่ลิเวอร์พูลมีนักเตะอย่างซัวเรส เขาทำประตูเป็นกอบเป็นกำมากมาย ยิ่งในฤดูกาล 2013/2014 ขนาดต่อให้คนอื่นก่อน 5 นัดแรก ยังมิวายอุตส่าแซงเขามาคว้าดาวซัลโวไปหน้าตาเฉย
ฤดูกาลนั้นลิเวอร์พูลมี S ประจำทีมอย่างหลุยส์ ซัวเรส ขนาบข้างด้วยคู่หูอย่างสเตอร์ริดจ์ แถมมีแบ๊คอัพคอยสนับสนุนอย่างคูตินโญ่,สเตอร์ลิ่ง แถมยังมีมิดฟิลด์โฮลดิ้งอย่างสตีเวน เจอร์ราร์ดคอยสั่งการอยู่หน้าแผงกองหลัง
สุดท้ายลิเวอร์พูลพลาดแชมป์ลีกอย่างน่าเหลือเชื่อทั้งๆที่มีเวลาให้พัก มีเวลาให้คิด มีเวลาเตรียมพร้อมมากกว่าทีมอื่นๆเพราะฤดูกาลนั้นทีมไม่ได้ไปเตะฟุตบอลรายการยุโรป และทุกคนก็ไม่ได้สัมผัสโทรฟี่ร่วมกันอีกเช่นเคย
ต่อมาในปี 2017/2018 ลิเวอร์พูลนำเข้าโม ซาลาห์ ปีกชาวอิยิปต์ผู้เคยประสบความล้มเหลวกับเชลซีมาแล้วในยุคของมูรินโญ่
แต่กลับกลายเป็นเพชรเม็ดงามที่คว้ารางวัลส่วนตัวทุกอย่างในฤดูกาลนั้นไม่ต่ำกว่า 20 รายการ ไม่ว่าจะเป็นดาวซัลโว รางวัล PFA รางวัลปุสกัสอวอร์ด นักเตะยอดเยี่ยมต่างๆรวมถึงถูกจัดให้อยู่ใน 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลก
แม้ว่าจะคว้ารางวัลส่วนตัวมามากมาย แต่สิ่งที่เขาไม่ได้เลยคือโทรฟี่แชมป์กับลิเวอร์พูล
บทสรุปสุดท้ายทั้งสามช่วงลิเวอร์พูลประสบปัญหาตรงไหน ?
ยุคเจิด+ตอส ปัญหาคือไม่มีใครคอยช่วยทำประตูในช่วงที่ทั้งสองคนยิงไม่ได้ ลิเวอร์พูลเลยหลุดเสมอบ่อยในช่วงปีใหม่
ยุคซัวเรส ปัญหาคือกองหลังเสียประตูมากเกินไป เสียไปถึง 50 ประตู มากที่สุดในบรรดาท็อปโฟร์ ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือเมื่อลิเวอร์พูลแต้มเท่ากับแมนฯ ซิตี้ ประตูได้เสียเลยเป็นรอง สุดท้ายต้องไปเร่งเกมตัวเองในแมตช์เจอคริสตัล พาเลช และจบด้วยการเสมอ 3-3 ทั้งๆที่นำก่อน 3-0
ส่วนเมื่อฤดูกาล 2017/2018 ปัญหาก็คือลิเวอร์พูลเน้นพึ่งหาซาลาห์เป็นส่วนใหญ่ กองหลังยังไม่แน่นมากเท่ากับปัจจุบัน และยังไม่มีผู้รักษาประตูมือหนึ่งที่ไว้ใจได้ หากใครจำได้ตอนนั้นเจอร์เกน คล็อปป์ สลับผู้รักษาประตูอย่างคาริอุสกับมิโญเล่ท์อยู่ตลอด โดยที่มินนี่จะได้ลงเล่นในลีก ส่วนคาริอุสได้เล่นบอลถ้วยทั้งหมด
แม้ว่าในแต่ละช่วงที่กล่าวมานั้น ลิเวอร์พูลมีนักเตะเทียบชั้นระดับโลกอยู่ภายในทีม แถมฟอร์มก็พีคแบบสุดๆ แต่ก็ยังมีจุดบกพร่องเล็กๆให้เห็นที่มันสามารถทำให้ทีมพลาดสิ่งที่สำคัญที่สุดที่รอคอยมานานแสนนานได้
ฤดูกาลที่แล้วลิเวอร์พูลเป็นทีมที่เพอร์เฟ็คสุดๆตั้งแต่ที่ผมได้ดูบอลมา คว้าแชมป์ UCL อย่างยิ่งใหญ่ ทีมแทบจะไม่มีจุดบกพร่องให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ก็ยังพลาดแชมป์ลีกที่รอคอยมานานอยู่ดี ข้อผิดพลาดอย่างเดียวก็คือลิเวอร์พูลหลุดเสมอบ่อยไปในช่วงท้าย ไม่ยอมใส่เต็มแมกซ์เพื่อจะคว้า 3 คะแนน
ส่วนฤดูกาลนี้มันเป็นอะไรที่ผมไม่เคยได้เห็นมาก่อนเหมือนกัน มันเหมือนราวกับว่าลิเวอร์พูลกำลังแสดงหนังที่ลุยอยู่ในสงครามที่มีขุนพลไม่ต่ำกว่า 20 คนกำลังไล่ถล่มข้าศึกศัตรูในแต่ละสัปดาห์ด้วยบทที่โคตรจะคลาสสิคเพราะตัวเอกในแต่ละสัปดาห์แทบจะไม่เหมือนกันเลย
พลทหารที่ไปเป็นทีมแต่กระจัดกระจายกันอยู่ในแต่ละตำแหน่ง รับหน้าที่ต่างกัน โผล่มาช่วยคุ้มกันในยามฉุกเฉิน
จากต้นเรื่อง โม ซาลาห์ โชว์ความโดดเด่นวิ่งหลบสิ่งกีดขวางตั้งแต่สัปดาห์แรก
สัปดาห์ต่อมา ซาดิโอ มาเน่ โผล่มายิงบาซูก้าใส่เซาแธมป์ตันเข้าสามเหลี่ยมผ่อนคลายจากสถานการณ์ที่อึดอัดสุดๆ
มาติปขอเป็นพระเอกในสัปดาห์ที่ 3 เมื่อเขากลายเป็นตัวเปิดให้กับทีมในการรบกับอาร์เซน่อล
เทรนท์ โผล่เป็นพระเอกมายิงไรเฟิลใส่เชลซีในสัปดาห์ที่ 6
สัปดาห์ที่ 7 ไวจ์นัลดุมลุยเดี่ยวบุกเชือดเชฟฟิลด์หลังจากที่เห็นเพื่อนๆออกนอกหน้านอกตากันมานาน
มิลเนอร์โผล่มายิงซีโฟร์นาทีสุดท้ายในเกมกับเลสเตอร์ ซิตี้ ในสัปดาห์ที่ 8
สัปดาห์ที่ 9 ลัลลานาคือหน่วยแพทย์ที่มาช่วยเพื่อนๆจากเมืองแมนเชสเตอร์ในช่วงท้ายของเรื่อง
เฮนโด้บุกทำเนียบขาวช่วยตัวประกันเอาไว้ได้ในสัปดาห์ที่ 10
โรเบิร์ตสันทนไม่ไหวจากความกดดัน เลยวิ่งออกจากพื้นที่ไปสาดกระสุนใส่วิลล่าเพื่อเปิดทางให้เพื่อนๆในสัปดาห์ที่ 11
สัปดาห์ที่ 12 ฟาบินโญ่เปิดสงครามเดือดด้วยปืน RPG ยิงใส่ชนกลุ่มน้อยของแมนเชสเตอร์
ฟีร์มีโน่ปิดบัญชีเป้าหมายทั้งๆที่อยู่กลางวงล้อมของศัตรูที่ลอนดอน พร้อมกับมาเพื่อนๆวิ่งหนีออกมา (วิ่งออกมาดีใจ)
พี่เบิ้มปาระเบิดเข้าไปสองดอกอย่างแม่นยำในเกมกับไบรจ์ตันสัปดาห์ที่ 14
เมื่อเพื่อนบ้านโหวกเหวกโวยวายเสียงดัง โอริกี้กับชาคิรี่แยกไปทำภารกิจลับส่วนตัวทั้งคู่ที่อยู่ไม่ไกลจากสวนสาธารณะแสตนลีย์ พาร์ค
ถึงคราวหน่วยลับอย่างอ๊อกซ์เลดกับเกอิตาต้องโชว์ผลงานบ้างในสัปดาห์ที่ 16 กับบอร์นมัธ
สุดท้ายกลายเป็นทหารจากอิยิปต์กลับมาเป็นตัวเอกอีกครั้งในสัปดาห์ที่ 17
เห็นไหมครับว่านี่คือสิ่งที่ลิเวอร์พูลแตกต่างไปอย่างมากจากเมื่อก่อน เกือบทุกเกมมักจะมีตัวละครที่ไม่ลับผลัดกันมาช่วยทีมเสมอเหมือนกับในหนังอย่างไงอย่างงั้น
เมื่อพูดถึงลิเวอร์พูล หลายๆคนมักจะคิดถึงสามประสาน
แต่ปัจจุบันตอนนี้คำว่าสามประสานไม่ได้เป็นที่นิยมเหมือนเมื่อก่อน เนื่องจากว่าทุกๆคนทั้งตัวจริงและตัวสำรองสร้างทีมให้กลายเป็นมากกว่าสามประสานไปแล้ว
"มึงยิงไม่ได้ไม่เป็นไร เดี๋ยววันนี้กูเอง"
"มึงเหนื่อยมามากแล้ว วันนี้ให้กูทำหน้าที่แทนแล้วกัน"
แค่ดูจากผิวเผินภายนอก ลิเวอร์พูลยุคนี้กลายเป็นทีมที่เต็มไปด้วยทัศนคติและสปิริตที่เต็มเปี่ยมจากคำสอนของเจอร์เกน คล็อปป์
ทุกๆคนที่ได้รับหน้าที่ลงสนามก็ทำผลงานได้อย่างไม่มีเขิน
ทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมาะสมกับความไว้วางใจของบอส
แม้ว่าตอนนี้ผลงานมันยังไม่บรรลุผลสำเร็จเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ แต่อีกไม่นานเกินรอ ถ้าทุกคนในทีมยังทำผลงานได้ดีแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เชื่อเถอะ ทุกคนในทีมชุดนี้จะกลายเป็นทีมที่ถูกจดจำไปตลอดแบบไม่มีวันลืมว่าคุณคือลิเวอร์พูลชุด 2019/2020 ที่ทรงประสิทธิภาพมากกว่าลิเวอร์พูลชุดที่ผ่านๆมา
แล้วทุกคนจะได้รับผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าที่ไม่เคยมีนักเตะลิเวอร์พูลคนไหนเคยได้รับมันมาก่อน
#ปลายสตั๊ดสีแดง
โฆษณา