20 ธ.ค. 2019 เวลา 00:00 • กีฬา
[ #ลูกชายสายเลือดพ่อ ]
จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เพิ่งเปิดใจไม่นานนี้ว่าภาพความทรงจำหลังเกมนัดชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกยังคงแจ่มชัดเสมอ
เขามีอาการคล้ายกับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ที่อยากจะหยิกตัวเองแรงๆ เพื่อยืนยันว่านี่คือเรื่องจริงไม่ใช่ฝันไปเอง
ลำพังการถูกแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมลิเวอร์พูลมันเป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่มากๆอยู่แล้ว แต่เมื่อคุณได้เดินนำเพื่อนร่วมทีมชูเจ้าบิ๊กเอียร์ฉลองแชมป์ นึกย้อนทีไรขนลุกชูชันเสมอ
เด็กชายจากซันเดอร์แลนด์ทางนอร์ธอีสต์ของอังกฤษ จินตนาการมาตั้งแต่ 6 ขวบว่าจะต้องเติบโตเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่ยิ่งใหญ่ให้ได้
เหมือนกับเพื่อนๆแทบทุกคน ฟุตบอลไหลเวียนอยู่ในสายเลือดและจิตวิญญาณ แต่เขาไม่ได้มีเพียงแค่ภาพมโนในหัวเท่านั้น ความฝันยังแรงกล้าเจิดจ้าอีกต่างหาก
ในเกมนัดชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2003 ระหว่างเอซี มิลานกับยูเวนตุสที่เหมือนยกเอาเซเรีย อามาหวดกันที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เจ้าหนูเฮนโด้ที่ตอนนั้นเพิ่ง 13 ปีเข้าไปเป็นสักขีพยานในสนามกับพ่อด้วย
ไม่ง่ายนักที่จะได้ชมเกมนัดชิงรายการใหญ่ยุโรป เมื่อโอกาสมาถึง ไบรอัน ผู้พ่อจึงยอมจ่ายค่าตั๋วพาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมาดู เพื่อซึมซับและสร้างแรงบันดาลใจ
มันน่าตื่นเต้นที่ได้เห็นแข้งระดับซูเปอร์สตาร์มากมายแบบตัวเป็นๆ ไม่ว่าจะ จานลุยจิ บุฟฟ่อน , อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ , ดาวิด เทร์เซเก้ต์ , อันเดร เชฟเชนโก้ , รุย คอสต้า , อเลสซานโดร เนสต้า , หรือ อันเดรีย ปีร์โล่
เฮนโด้ สะกิดแขนพ่อแล้วพูดขึ้นมาว่า -- "พ่อครับสักวันผมต้องได้เล่นเกมยูซีแอลอย่างนี้แหล่ะ"
ไบรอัน ได้แต่รับฟังลูกชาย เขามั่นใจในตัวลูกก็จริง แต่ย่อมรู้ดีว่าเด็กทุกคนต่างมีความฝันทั้งนั้น
ตัวเขาก็ฝันคล้ายกับลูก อยากจะสนับสนุนให้ไปได้ไกลสุดๆบนเส้นทางนักเตะอาชีพจึงผลักดันเข้าอะคาเดมี่ของซันเดอร์แลนด์ตั้งแต่อายุ 8 ขวบเท่านั้น
เฮนโด้ เริ่มต้นจากบทบาทกองหน้าก่อน บางครั้งโค้ชสลับจับไปยืนปีกขวาบ้าง แล้วพอเห็นแววในการจ่ายบอลสั้นยาวมีคุณภาพ เลยลองทดสอบถอยมามิดฟิลด์ตัวกลาง
เฮนโด้ ผ่านทีมเยาวชนมาทุกระดับของแมวดำ ก่อนจะประสบความสำเร็จได้แชมป์ลีกรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี ก่อนได้เซ็นสัญญาเป็นแข้งอาชีพเต็มตัวในปี 2008 นำความปลาบปลื้มมาให้ ไบรอัน ยิ่งนัก
ไม่แปลกที่เขาจะก้าวพรวดขึ้นชุดใหญ่ซันเดอร์แลนด์อย่างรวดเร็ว แม้จะเคยโดนโคเวนทรียืมตัวใช้งานช่วงสั้นๆ แต่นั้นไปเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์
เขาได้ลงเล่นในลีกถึง 10 นัดยิงไปอีก 1 ประตูบวกแอสซิสต์อีก 2 คราวนี้ซันเดอร์แลนด์เห็นว่าช่วงครึ่งปีแกร่งกล้าพอแล้ว จึงกระชากตัวกลับคืนมาใช้งานเอง
ฤดูกาล 2009/10 ได้รับความไว้วางใจจาก สตีฟ บรูซ ผู้จัดการทีมเวลานั้นลงเล่นอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยถึง 33 นัดในพรีเมียร์ลีก
เฮนโด้ ถูกยกย่องว่าเป็นกองกลางดาวรุ่งดวงใหม่ จนขยับติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่
พอรู้ว่าลูกชายติดธงสิงโตคำรามซีเนียร์ ไบรอัน แทบกระโดดตัวลอย เพราะนี่คือสิ่งที่เขาฝันไว้ มันกลายเป็นจริงอย่างไม่น่าเชื่อ โดยที่ลูกชายเพิ่งอายุ 20 ปีเท่านั้น
แต่เขาอาจไม่รู้ว่ายังมีความฝันที่ยิ่งใหญ่รออยู่เบื้องหน้าอีก
เพราะฤดูร้อนปี 2011 ลิเวอร์พูลยื่นข้อเสนอเข้ามาชนิดที่ว่าซันเดอร์แลนด์ไม่อาจปฏิเสธได้ ค่าตัวที่คาดว่าเหยียบ 20 ล้านปอนด์มันมากพอจะพยุงการเงินของสโมสรให้ดีขึ้น
เคนนี่ ดัลกลิช กุนซือหงส์แดงในเวลานั้นพยายามกระตุ้นและสร้างความเชื่อมั่นให้กับ เฮนโด้ ซึ่งช่วยให้มีแรงฮึกเหิมไม่น้อย
อย่างไรก็ตามเมื่อ "คิง เคนนี่" แยกทางไปแล้วได้ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เข้ามาแทน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่อยู่ในแผนการสร้างทีม
ในปี 2012 บีร็อด ต้องการตัว คลินท์ เดมพ์ซี่ย์ แข้งอเมริกันมาเพิ่มมิติเกมรุกให้วูบวาบมากขึ้น จึงคิดจะแลกตัวกับ เฮนเดอร์สัน
เขาเลยโทรบอกลูกน้องรายนี้ถึงความตั้งใจ แล้วถามไปว่าจะเอาอย่างไร
ตอนนั้น เฮนโด้ ใจตกไปที่ตาตุ่ม มันรู้สึกแย่มากๆ เขาพยายามตั้งใจเต็มที่ ฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อพิสูจน์ตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เข้าตาร็อดเจอร์สเลย
สำหรับเด็กหนุ่มวัย 20 ปีเศษๆที่ต้องแบกรับความกดดันจากค่าตัวและความคาดหวัง มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฝ่าไป จำต้องใช้เวลาบ้าง แต่นี่เจ้านายคนใหม่จะผลักใสกันแล้ว
เมื่อ ไบรอัน รู้ข่าวได้ปลอบใจลูกชาย พร้อมกับถามว่าอยากอยู่ลิเวอร์พูลต่อหรือไม่ ถ้ายังสู้ไม่ถอยก็เดินไปคุยกับบอสดูบอกเจตนาเราให้รับรู้
ร็อดเจอร์ส เปิดใจรับฟังและย้ำว่าจะให้โอกาสกับ เฮนโด้ อย่างน้อยในช่วง 2-3 เดือนจากนี้ต้องแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
เพราะรู้ศักยภาพตัวเองดีในแง่พรสวรรค์ไม่อาจเทียบกับพวกแข้งต่างชาติฝีเท้าเยี่ยมๆได้ จึงทดแทนด้วยการทำงานหนัก ฝึกซ้อมเอาเป็นเอาตาย อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ทั้งจ้างเทรนเนอร์ส่วนตัว ซ้อมเพิ่มต่างหาก เน้นการเปิดบอลยาว รวมทั้งเข้ายิมเสริมกล้ามเนื้อให้แกร่ง เพิ่มจากเดิมอีกวันละหลายชั่วโมง
เขายอมโดนภรรยาบ่นเรื่องไม่ค่อยมีเวลาให้แลกกับความบากบั่นทุ่มเทเพื่อได้สวมยูนิฟอร์มลิเวอร์พูลต่อไป
ชะตาไม่ใจร้ายเกินสำหรับคนที่ความอุตสาหะ เขาได้รับความวางใจจาก ร็อดเจอร์ส ลงเป็นตัวจริงอย่างต่อเนื่อง
แต่อุปสรรคยังไม่หมดแค่นั้น
ปี 2014 ไบรอัน พ่อตรวจเจอเชื้อมะเร็งที่บริเวณคอ ต้องเข้ารับการผ่าตัดแต่พ่อปิดเรื่องนี้ไว้
กระทั่งพอมารู้ภายหลังอาการสับสนเกิดขึ้นในใจของ เฮนโด้ เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อต้องเก็บเป็นความลับทั้งที่นี่คือเรื่องสำคัญ
แม้อยากจะเจอลูกชายคนโปรดใจจะขาดแค่ไหน ไบรอัน ก็ต้องยับยั้งความรู้สึกไว้ ไม่อยากให้เกิดความกังวลและจะส่งผลต่อฟอร์มในสนาม
แต่พอเผชิญหน้ากันเขาจะบอกกับ เฮนโด้ เลยว่า พ่อจะมีความสุขมากๆถ้าลูกทำผลงานได้ดี เดินหน้าต่อไปตามหาความฝันของตัวเองให้ได้
ไม่นานหลังจากนั้น สตีเว่น เจอร์ราร์ด เปิดหมวกอำลาทีม เขาได้รับเลือกให้สืบทายาทกัปตัน ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่าไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมมากพอ
แต่ เฮนโด้ ไม่ได้ตอบโต้อะไรนักและคนที่รู้ดีล่าสุดว่าเหมาะสมแค่ไหนคือ ร็อดเจอร์ส ที่ครั้งหนึ่งเคยมองข้ามลูกทีมคนนี้มาก่อน
เป็น ไบรอัน อีกนั่นแหล่ะที่ปลอบลูกว่าอย่าไปหวั่นไหวกับเสียงคนอื่น ทำในสิ่งที่เราต้องทำเหมือนอย่างเคยเจอมาแล้ว
อีกไม่กี่เดือนจากนั้น ร็อดเจอร์ส โดนปลด เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาทำหน้าที่แทนสถานการณ์ไม่ได้ง่ายไปกว่าเดิมเลย เฮนโด้ ยังต้องทำให้เจ้านายคนใหม่เห็นคุณค่า
เคยมีเหตุการณ์ที่ คล็อปป์ เปลี่ยนเขาออก ก่อนจะกลายเป็นประเด็น กระทั่งเห็นแล้วว่าเป็นอย่างไร เขาจึงกล้าออกมาขอโทษกัปตันทีมตัวเองผ่านสื่อ
ส่วน ไบรอัน ยังคงต่อสู้กับโรคร้ายอย่างดุเดือดไม่ยอมแพ้ง่ายๆ จนเอาชนะได้สำเร็จ
เขาได้เข้าไปเป็นสักขีพยานในเกมนัดชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกที่เคียฟ แม้วันนั้นลิเวอร์พูลจะแพ้เรอัล มาดริด 1-3 มันน่าผิดหวัง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะบอกให้ลูกชายยอมแพ้
"พ่อยังผ่านโรคร้ายมาได้ เอาชนะมันสำเร็จ สักวันแกก็ต้องไปถึงเป้าหมายได้เช่นกัน"
จากเคียฟมาสู่มาดริด ลิเวอร์พูลเข้าชิงอีกครั้ง คราวนี้ ไบรอัน หลั่งน้ำตาแห่งความภาคภูมิออกมา โดยเฉพาะวินาทีที่ เฮนโด้ ซอยเท้าแล้วชูโทรฟี่ฉลอง
ภาพนั้นยังจำแม่นอยู่ในความรู้สึก ไม่ต่างจากลูกชายผู้มีสายเลือดนักสู้เหมือนกับเขาเลย
เป็นความภูมิใจจากลูกที่ส่งตรงไปยังพ่ออย่างแท้จริง
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา